3 ก.ย. 2555

[รับตรง] - โควตา สถาปัตย์ ม.เทคโนฯราชมงคลพระนคร 56


UploadImage

เกณฑ์การรับสมัครนักศึกษาประเภทกรณีพิเศษ (โควตา)

หลักสูตรเทคโนโลยีบัณทิต (4 ปี)
สาขาวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
สาขาวิชาการออกแบบบรรจุภัณฑ์
วุฒิที่รับเข้าศึกษา ม.6 ทุกแผนการศึกษา, ปวช. สาขาออกแบบทุกแขนงงาน
ระดับผลการศึกษาเฉลี่ย 4 ภาคการศึกษา ไม่น้อยกว่า 2.50

หลักสูตรเทคโนโลยีบัณทิต (5 ปี)
สาขาวิชาสถาปัตยกรรม
วุฒิที่รับเข้าศึกษา ม.6 แผนการศึกษาวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์
ระดับผลการศึกษาเฉลี่ย 4 ภาคการศึกษา ไม่น้อยกว่า 2.75


กำหนดการ
รับสมัคร                                                   ตั้งแต่บัดนี้ - 10 ตุลาคม 2555
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์          11 ตุลาคม 2555

สอบสัมภาษณ์                                         12 ตุลาคม 2555
ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก               22 ตุลาคม 2555

 

[ข่าว] - 9 มทร. จี้ชัดเจนปิด - เปิดเรียน


UploadImage

          นายนำยุทธ สงค์ธนาพิทักษ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ใน ฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (ทปอ.มทร.) 9 แห่ง กล่าวถึงกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติเลื่อนวันรับสมัครแอดมิชชั่นกลางปี 2557 จากเดือน เม.ย. เป็นเดือน มิ.ย.ให้สอดคล้องกับการเลื่อนเปิดภาคการเรียนของชาติสมาชิกอาเซียน ว่า มทร. 9 แห่ง ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่มองว่าย่อมมีทั้งข้อดีข้อเสีย ในแง่ดีทำให้เด็ก ม.6 มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น ส่วนมหาวิทยาลัยที่เปิดรับหลักสูตรนานาชาติ ก็ได้รับอานิสงส์มีเด็กต่างชาติเข้ามาเรียนเพิ่มขึ้น ขณะที่ข้อเสียเชื่อว่าจะกระทบต่อการเปิดรับตรงของมหาวิทยาลัย (เคลียริ่งเฮาส์) อย่างแน่นอน ดังนั้นในการหารือร่วมกับนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ จะประสานอธิการบดี มทร.ทุกแห่ง เตรียมข้อมูลเพื่อนำเสนอในที่ประชุมด้วย

          "การจะปรับเปลี่ยนเวลาเปิด-ปิดภาคเรียน ต้องนำกลุ่มเป้าหมายหลัก ซึ่งเป็นเด็กกลุ่มใหญ่ของประเทศมาพิจารณาว่า เขาได้รับผลดี ผลเสียอย่างไร เรื่องนี้กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลและกำหนดนโยบาย ต้องชี้ชัดและตัดสินออกมาให้ชัดเจน เพราะในส่วนของมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติ จะให้ดำเนินการอย่างไร เราก็พร้อมเดินหน้าอยู่แล้ว" ประธาน ทปอ.มทร. กล่าว


ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

[ข่าว] - 'ยูเนสโก'ดันเด็กเรียนรู้ผ่านมือถือ พัฒนา'เนื้อหา-แอพ'นำร่องทั่วโลก



UploadImage
 
'ยูเนสโก'ดันเด็กเรียนรู้ผ่านมือถือ พัฒนา'เนื้อหา-แอพ'นำร่องทั่วโลก สกศ.หนุน-เตรียมชงบอร์ดไฟเขียว

          นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา เปิดเผยว่า จากการประชุมและหารือกับผู้แทนด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับแจ้งว่าขณะนี้ยูเนสโกกำลังทำโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยโทรศัพท์ เคลื่อนที่ (Mobile Learning Project) และต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ของไทย ได้พิจารณาเกี่ยวกับโครงการนี้ส่งไปยังยูเนสโก ซึ่งนอกจากประเทศไทยแล้วยูเนสโกยังได้ให้ประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลกได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวด้วย ก่อนที่จะนำมาใช้จริงในประเทศต่างๆ โดยโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ฯของยูเนสโกจะเน้นกิจกรรม 5 ด้านหลัก คือ 1.การส่งเสริมการพัฒนาเนื้อหาการเรียนรู้ที่สามารถส่งผ่านโทรศัพท์มือถือที่ ง่ายแก่การอ่าน (easy to read) มีเนื้อหาที่สั้นกะทัดรัด และสามารถส่งผ่านถึงกันในระยะเวลาอันสั้น 2.การพัฒนาเพิ่มทักษะครูเพื่อส่งเสริมการสืบค้นข้อมูล รวมทั้งการเป็นพี่เลี้ยงแก่ผู้เรียนในการสร้างเนื้อหาผ่านระบบดิจิตอล โดยใช้เทคโนโลยีจากแอพ พลิเคชั่นต่างๆ 3.การพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารในโทรศัพท์มือถือที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน และครูในการสร้างและพัฒนาเนื้อหาและการสืบค้นข้อมูล 4.การประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้หน่วยความจำของเครื่องมือสื่อสารของผู้ เรียนเทียบเคียงความรู้ที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือได้รับ และ 5.การกำหนดนโยบายแห่งชาติหรือยุทธศาสตร์การส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยโทรศัพท์ มือถือ


          เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวต่อว่า ยูเนสโกได้เล็งเห็นความสำคัญของการส่งเสริมโอกาสในการเรียนรู้ตามปณิธานของ การศึกษาเพื่อปวงชน โดยเฉพาะการส่งเสริมความสามารถของผู้เรียนในการแสวงหาและสร้างความรู้เพื่อ การแบ่งปันซึ่งกันและกัน และเห็นว่าในปัจจุบันวิทยาการของโทรศัพท์มือถือและเครื่องมือดิจิตอลสามารถ นำมาใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้ โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับข้อมูลทางโทรศัพท์มือถือ การอ่านหนังสือผ่านอีบุ๊ก (e-book) การเก็บภาพและเสียงในคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เป็นต้น หากสามารถคิดรูปแบบการเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิตอลดังกล่าว ได้ จะสามารถเข้าถึงผู้เรียนได้ไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือเยอะ เช่น ในทวีปแอฟริกาที่มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากที่สุดในโลก

          "จากข้อมูลของยูเนสโก ระบุว่า เดี๋ยวนี้เด็กอายุ 10 ขวบขึ้นไป ผู้ปกครองก็ซื้อโทรศัพท์มือถือให้ลูกแล้ว ฉะนั้น การให้เด็กหรือนักเรียนได้ใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือสำหรับการเรียนรู้จะ ดีกว่าที่เด็กจะใช้เล่นเกม การแชต หรือการใช้ไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ จึงอยากให้นักเรียน กลุ่มวัยรุ่นหันมาใช้ข้อมูลทางการศึกษาด้วยโทรศัพท์มือถือ" นายเอนก กล่าว และว่า สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เห็นด้วยกับการส่งเสริมการเรียนรู้ดังกล่าวและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อการ เรียนในระบบการศึกษาและนอกระบบการศึกษา ขณะนี้ สกศ.พิจารณาเรื่องนี้เสร็จแล้ว โดยได้ประชุมรับฟังความเห็นมาแล้วและอยู่ระหว่างการนำเสนอที่ประชุมคณะ กรรมการสภาการศึกษา ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธาน อย่างไรก็ตาม การนำโครงการดังกล่าวมาใช้ในระบบการศึกษาของไทย น่าจะใช้ในลักษณะเพื่อเสริมการเรียนการสอนทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และการศึกษา ตลอดชีวิต โดยเฉพาะสามารถนำมาส่งเสริมการรู้หนังสือได้ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้ในโครงการดังกล่าว ไม่น่าจะเยอะมากนักและทาง ยูเนสโกจะมีงบประมาณสนับสนุนบางส่วน เพราะโครงการนี้ไม่ได้ลงทุนมากเนื่องจากนักเรียนมีโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่นมารองรับเท่านั้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

2 ก.ย. 2555

[คลังความรู้] - ข้อสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 1 ปีการศึกษา 2554 พร้อมเฉลยทุกวิชา

ข้อสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 1/2554 (เดือนมีนาคม 2554) ไว้ฝึกสมองก่อนสอบกัน

Credit : 02Dual.com

[ไลค์สาระ] - เปิดตัวมนุษย์ไม่มีหัวใจคนที่สองของโลก


เปิดตัวมนุษย์ไม่มีหัวใจคนที่สองของโลก จาคุบ ฮาลิก
 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า โรงพยาบาลในสาธารณรัฐเช็ก เปิดตัวผู้ป่วยรายที่สองของโลกที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีหัวใจ แต่ใช้ปั๊มกลสูบฉีดเลือดแทน
            ผู้ป่วยรายนี้ คือนายจาคุบ ฮาลิก พนักงานดับเพลิงชาวเช็ก วัย 37 ปี เขาป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ลุกลามอย่างหนัก และลุุกลามไปที่หัวใจของเขา จนกระทั่งแพทย์ไม่มีทางเลือก ต้องทำการผ่าตัดหัวใจที่เต็มไปด้วยเซลล์มะเร็งของเขาออกไปทั้งดวง ก่อนที่เซลล์มะเร็งจะคร่าชีวิตเขา จากนั้นก็ได้ทำการใส่ปั๊มกลเข้าไปแทนที่ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งผลออกมาก็น่าพอใจ นับว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เขาสามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ และกลายเป็นผู้ป่วยรายที่สองของโลกที่มีชีวิตอยู่ด้วยปั๊มกล
            ฮาลิกเล่าถึงประสบการณ์การมีชีวิตอยู่ด้วยหัวใจเทียมว่า "ผมไม่รู้สึกแปลกอะไรเลยนะ เพราะการทำงานของร่างกายทุกอย่างยังเป็นปกติ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ก็คือ หัวใจเทียมของผมไม่มีการเต้นเป็นจังหวะเหมือนหัวใจดวงเดิมเท่านั้น แต่เอาเถอะ ผมรู้สึกว่าตัวเองสุขภาพดีนะตอนนี้"
            อย่างไรก็ดี ฮาลิกจะมีชีวิตอยู่โดยใช้ปั๊มกลแบบนี้ไปอีกแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อไรที่มีผู้บริจาคหัวใจคนใดเสียชีวิตลง แพทย์ก็จะนำหัวใจมาผ่าตัดให้กับฮาลิกอีกครั้ง
            ทั้งนี้ นอกจากฮาลิกจะเป็นผู้ป่วยที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยปั๊มกลคนที่ 2 ของโลก เขาก็ยังเป็นผู้ป่วยไม่มีหัวใจที่มีชีวิตอยู่ได้นานและสุขภาพดีด้วย เมื่อเทียบกับ เครก ลูอิส ชายอเมริกันวัย 55 ปี ผู้ป่วยที่ใช้ปั๊มกลในการสูบฉีดเลือดคนแรก ที่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ก่อนจะเสียชีวิตลงเพราะโรคลุกลามไปถึงตับและไต

Credit : Unigang

[ข่าว] - เด็กไทยไอคิวต่ำกว่าพม่า 5 ล้านคนหายจากโรงเรียน



วันเสาร์สบายๆ วันนี้มาคุยกัน เรื่องหนักๆของชาติ ซึ่งเป็น
“เรื่องน่าเศร้าของเด็กไทย” และ “อนาคตของชาติไทย”  กันดีกว่านะครับ อ่านข่าวแล้วผมได้แต่หดหู่ใจ ไม่รู้นักการเมืองที่รับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง และ การศึกษาของชาติจะรู้สึกอะไรหรือไม่ เพราะวันนี้ เด็กและเยาวชนไทย ที่เป็น อนาคตของชาติ กำลัง ถูกรัฐบาลทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี จาก ระบบการศึกษาที่ล้มเหลว จน “เด็กไทยสติปัญญาต่ำกว่าเด็กพม่า” ไปแล้ว
ข้อมูลนี้เป็น ผลสำรวจสถานการณ์ระดับสติปัญญาเด็กนักเรียนไทยปี 2554 และ การกระจายระดับสติปัญญารายภาคปี 2555 ของ กรมสุขภาพจิต ซึ่งสำรวจจากเด็กนักเรียนระดับ ป.1-ม.3 ในโรงเรียนทุกสังกัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 72,780 คน เมื่อเดือนธันวาคม 2553-มกราคม 2554
ผลออกมา เด็กนักเรียนไทยมีไอคิวหรือสติปัญญาเฉลี่ยอยู่ที่ 98.59 ซึ่งเป็น เกณฑ์ที่ต่ำกว่าค่ากลางตามมาตรฐานสากล  ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 100 และเมื่อ เทียบสติปัญญาเด็กไทย กับ ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน แล้วพบว่า เด็กไทยมีสติปัญญาเฉลี่ยต่ำกว่าเด็กพม่า แต่ถือว่าดีขึ้น เพราะการสำรวจปี 2549 เด็กไทยมีสติปัญญาเท่ากับเด็กเขมร เท่านั้น
โอ้แม่เจ้า แล้วคนไทยจะร้องเพลงอะไรดี
ส่วน ลูกท่านหลานเธอ ลูกนักการเมือง ลูกเศรษฐี ที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ วันนี้ร้อง “เพลงชาติไทย” ก็ไม่เป็นแล้ว ไม่เชื่อไปถามลูกท่านดู
ยิ่งเศร้าใจหนักขึ้นไปอีก เมื่อ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาทางการวิชาการ สำนักงานส่งเสริมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพเยาวชน (สสค.) ออกมาเปิดเผยว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีเด็กไทย 5,752,500 คนหายไปจากโรงเรียน  ทั้งๆที่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ บังคับให้รัฐต้องจัดการศึกษาภาคบังคับ ให้เด็กไทยอย่างทั่วถึงเป็นเวลา 12 ปีตั้งแต่ชั้นอนุบาล
เด็กไทยกว่า 5.7 ล้านคนที่หายไปจากโรงเรียน  คิดตามจำนวนประชากรไทย 65 ล้านคน เป็นสถิติสูงเกือบ 10% ของคนไทยทั้งประเทศ ถ้าคิดเทียบกับจำนวนเด็กไทยในระบบการศึกษาด้วยกัน เปอร์เซ็นต์จะต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า น่าเศร้าไหม
เด็กไทยกว่า 5.7 ล้านคนที่หายไปจากโรงเรียน กลายเป็นผู้ขาดโอกาสทางการศึกษา พวกเขาหายไปไหน ผลสำรวจแบ่งออกเป็น 13 กลุ่ม เช่น
1,700,000 คน ป่วยเป็น โรคออทิสติก
300,000 คน เป็น เด็กไร้สัญชาติ
250,000 คน เป็น ลูกของแรงงานต่างด้าว
160,000 คน เป็น เด็กที่อยู่ในท้องถิ่นทุรกันดาร
100,000 คน เป็น แม่วัยใสที่ท้องมีลูกตั้งแต่เด็ก
88,730 คน เป็น เด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง
50,000 คน เป็น เด็กที่ติดเชื้อเอดส์ไปจากพ่อแม่
50,000 คน เป็น เด็กที่ก่ออาชญากรรมถูกดำเนินคดี
30,000 คน เป็น เด็กเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย
25,000 คน เป็น เด็กที่ถูกบังคับให้ค้าประเวณี
10,000 คน ถูกบังคับใช้แรงงานที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี
10,000 คน เป็นเด็กติดยา
จากข้อมูลเก่าของ สภาการศึกษา ที่สำรวจเมื่อปี 2540–2551 พบว่า เด็กไทยหลุดจากระบบการศึกษาก่อนจบ ม.3 มี 20% หลุดก่อนจบ ม.6 อีก 30% เหลือสอบเข้ามหาวิทยาลัย 35% และมีเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่ได้เข้าเรียนใน มหาวิทยาลัย น่าเศร้าไหม
ทั้งๆ ที่ กระทรวงศึกษาฯ มีงบการศึกษาปีละกว่า 4 แสนล้านบาท เอาไปละเลงอะไรก็ไม่รู้ ล่าสุดคือแท็บเล็ต แต่การศึกษาที่แท้จริงของเด็กไทยกลับต่ำเตี้ย จนมีสติปัญญาแพ้เด็กพม่า ที่ทุกอย่างล้าหลังกว่าไทยหลายสิบปี
แล้วเราจะ ร้องเพลงชาติไทย ที่ว้าเหว่ให้ใครฟัง ท่านนักการเมืองเอ๋ย


Credit : http://www.thairath.co.th/column/pol/thai_remark/287631

[ไลค์สาระ] - ข้อมูลน่ารู้ เกี่ยวกับการภาษีหัก ณ ที่จ่าย





 
           หลังจากเรื่องการหักภาษี ณ ที่จ่าย ของดารานักแสดงชื่อดัง ได้กลายเป็นประเด็นที่สังคมนำมาถกเถียงกัน เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่าอาจมีการหมกเม็ด หรือมีความพยายามในการเลี่ยงภาษีโดยทางมิชอบ ซึ่งเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในตอนนี้ คือ การหักภาษี ณ ที่จ่าย ที่หลายคนยังสับสนว่า การหักภาษี ณ ที่จ่าย คืออะไรนั้น วันนี้กระปุกดอทคอม ได้รวบรวมข้อมูลมาฝากกันจ้า
 
           ก่อนจะไปดูเรื่องการหักภาษี ณ ที่จ่าย เราควรทำความเข้าใจเรื่อง คำศัพท์สำคัญที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ซึ่งได้แก่
            1. ผู้จ่ายเงินได้ : คือผู้ที่มีหน้าที่ หักภาษี ณ ที่จ่าย ให้แก่กรมสรรพากร
            2. ผู้มีรายได้ : ผู้ที่ประกอบอาชีพ และมีรายได้จากการทำงาน 
 
           ผู้จ่ายเงินได้ ประกอบด้วย บุคคล, ห้างหุ้นส่วน, บริษัท, สมาคม และคณะบุคคล ซึ่งเงินที่หักภาษี ณ ที่จ่ายนี้ ก็คือเงินของผู้มีรายได้ ที่ได้มาจากการทำงาน และนอกจากผู้จ่ายเงินได้ จะหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว ทุก ๆ กลางปี สิ้นปี หรือครบรอบบัญชี หากผู้มีรายได้คำนวนแล้วว่า ภาษีสุทธิของตน น้อยกว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ถูกผู้จ่ายเงินได้หักไปแล้ว ท่านก็ไม่ต้องเสียเงินชำระภาษีต่อกรมสรรพกรอีก
 
           ในขณะเดียวกัน ถ้าผู้มีรายได้ มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย มากกว่าภาษีที่ต้องชำระ ผู้มีรายได้สามารถทำเรื่องขอคืนภาษีได้ แต่ต้องยื่นแบบขอคืนภาษีให้ถูกต้อง ยกเว้นว่า หากผู้มีรายได้ไม่ประสงค์จะขอคืนภาษี เงินเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเงินของประเทศไป ดังนั้น เมื่อผู้มีรายได้ถูกผู้จ่ายเงินได้ หักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว ผู้มีรายได้ควรเก็บใบหัก ณ ที่จ่ายไว้ และควรตรวจสอบข้อมูล ที่ถูกระบุในใบหักภาษี ณ ที่จ่าย ว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ หากมีส่วนใดผิดพลาด ก็ควรรีบกลับไปให้ผู้จ่ายเงินได้ออกใบหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ใหม่ทันที 
 
           สำหรับผู้มีรายได้ ประเภทบุคคลธรรมดา ที่ยังไม่แน่ใจว่า แหล่งเงินได้แบบใดที่จะเข้าข่ายต้องถูกหักภาษี หรือจะต้องเสียภาษี ขอให้ยึดหลักแหล่งที่มาของเงินได้ ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้

 1. เงินได้เกิดจากแหล่งในประเทศ หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้น หรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี

           1.1 หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย หรือ
           1.2 กิจการที่ทำในประเทศไทย หรือ
           1.3 กิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือ
           1.4 ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย (ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ฯลฯ
           
           * เงื่อนไข ผู้มีเงินได้เกิดจากแหล่งในประเทศนี้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เว้นแต่จะมีข้อยกเว้นตามกฎหมาย ทั้งนี้ ไม่ว่าเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วนั้น จะจ่ายในหรือนอกประเทศ และไม่ว่าผู้มีเงินได้นั้นจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม
 
 2. เงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศไทย หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี

           2.1 หน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ หรือ
           2.2 กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ
           2.3 ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ
 
           * เงื่อนไข ผู้มีเงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วจะต้องเสียภาษีเงินได้ ในประเทศไทยก็ต่อเมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 2 ประการ ดังต่อไปนี้
 
           (1) ผู้มีเงินได้เป็น ผู้อยู่ในประเทศไทย ในปีภาษีนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลา รวมทั้งหมดถึง 180 วัน และ
           (2) ผู้มีเงินได้ นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้นด้วย
 
           * เงื่อนไข ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาบางกรณี ถ้าเกี่ยวข้องกับบุคคลของบางประเทศที่มี อนุสัญญาภาษีซ้อน* หรือความตกลงเพื่อป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับประเทศไทยจำเป็นต้องพิจารณาถึงความ ตกลงหรืออนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยได้ทำความตกลงไว้ด้วย
 
           ทั้งนี้ สามารถสรุปคร่าว ๆ ได้ว่า การหักภาษี ณ ที่จ่าย จะเกิดขึ้นเมื่อผู้จ่ายเงินได้มอบหมายงานให้ผู้มีรายได้ และเมื่องานดังกล่าวสิ้นสุดลง ผู้จ่ายเงินได้ จะทำการหักภาษี ณ ที่จ่าย ทันที ก่อนที่ผู้มีรายได้จะได้รับค่าตอบแทนดังกล่าว แต่ถ้าผู้มีรายได้ประกอบธุรกิจของตนเอง ผู้มีรายได้จะต้องเสียภาษี และอาจมีฐานะเป็นผู้จ่ายเงินได้ด้วย
 
สำหรับ ผู้จ่ายเงินได้ ต้องมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย อย่างไรบ้างนั้น มีรายละเอียดดังนี้ ต่อไปนี้
 
           1. มาตรา 50 ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้
           
           (1) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย เพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
 
           ถ้าการหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายตามความในวรรคก่อนไม่ลงตัว เหลือเศษเท่าใดให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่ จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่าจำนวนภาษีที่จะต้องเสียทั้งปี
 
           ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงาน และได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(5) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
 
           ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) นอกจากที่ระบุไว้ในวรรคสาม ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอันตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
 
           (2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(3) และ (4) ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้ เว้นแต่

               (ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(3) และ (4) นอกจากที่ระบุไว้ใน (ข)(ค)(ง) และ (จ) ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้

               (ข) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48(3) (ก) และ(ค) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้       

               (ค) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48(3) (ข) ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงิน ผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือนิติบุคคลผู้โอนตั๋วเงินหรือตราสารดังกล่าว ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามส่วนนี้เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีเงินได้ ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้

               (ง) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) (ก) ที่มิได้ระบุใน (ข) และ (ค) แห่งมาตรานี้ ถ้าผู้จ่ายเงินได้มิใช่เป็นนิติบุคคล และจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องหักภาษีตามมาตรานี้

               (จ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) (ข) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้
 
           (3) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5) และ (6) ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
 

            (4) นอกจากกรณีตาม (5) ในกรณีผู้จ่ายเงินตามมาตรานี้เป็นรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น ซึ่งจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(5)(6) (7) หรือ (8) แต่ไม่รวมถึงการจ่ายค่าซื้อพืชผลทางการเกษตรให้กับผู้รับรายหนึ่ง ๆ มีจำนวนรวมทั้งสิ้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป แม้การจ่ายนั้นจะได้แบ่งจ่ายครั้งหนึ่งๆ ไม่ถึง 10,000 บาทก็ดี ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 1 ของยอดเงินได้พึงประเมิน แต่เฉพาะเงินได้ในการประกวดหรือแข่งขัน ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้
 
           (5) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) เฉพาะที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งขายอสังหาริมทรัพย์ ให้คำนวณหักดังต่อไปนี้
 
               (ก) สำหรับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดย เสน่หา ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(4) (ก) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
 
               (ข) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจาก (ก) ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48(4) (ข) เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
 
            (6) ในกรณีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบ แทน ให้ผู้โอนหักภาษีตามเกณฑ์ใน (5) โดยถือว่าผู้โอนเป็นผู้จ่ายเงินได้
 
             2. มาตรา 50 ทวิ กำหนดว่า ให้ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย (ผู้จ่ายเงินได้) ออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่ได้หักไว้แล้วในปีภาษีให้แก่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายสองฉบับ มีข้อความตรงกันในกรณีและตามกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
 

            (1) ในกรณีตามมาตรา 3 เตรส ให้ออกในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
            (2) ในกรณีตามมาตรา 50(1) ให้ออกภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ของปีถัดจากปีภาษี หรือภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายออกจากงานในระหว่างปีภาษี
            (3) ในกรณีตามมาตรา 50(2) (3) หรือ (4) ให้ออกในทันทีทุกครั้งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย
 
           จากรายละเอียดข้างต้นจะพบว่า เกณฑ์ในการหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้น มีรายละเอียดค่อนข้างมาก ซึ่งแท้จริงแล้วการหักภาษี ณ ที่จ่าย ก็ถือเป็นการเสียภาษีอย่างหนึ่ง และหากมีการเสียภาษีผิดพลาด ทางกรมสรรพากรก็จะทำการตรวจสอบ และประเมินใหม่อีกครั้ง แต่ในขั้นตอนนี้อาจต้องมีการเสียค่าปรับ หรือเงินเพิ่มอื่น ๆ จึงทำให้หลายคนเพิกเฉยต่อเรื่องการเสียภาษี เนื่องจากมีความซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการศึกษารายละเอียดอยู่บ้าง  
 
            อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการเสียภาษีต่าง ๆ ไม่ว่าจะในฐานะผู้จ่ายเงินได้ ที่เป็นผู้ประกอบ หรือผู้มีรายได้ ที่เป็นลูกจ้าง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมสรรพากรหรือติดต่อ สรรพากร Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1161
 
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

sahanetilaw.comrd.go.th

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม