มาดูซิว่า สาวคนไหนมีปัญหาผิวพรรณติดอันดับกับเขาบ้าง
นี่เป็นสถิติจากสถาบันโรคผิวหนัง ระบุว่าผู้มาใช้บริการศูนย์เลเซอร์มากที่สุดคือเรื่องปัญหาผิวพรรณ
อันดับหนึ่ง ปัญหาหมองคล้ำ กระ ฝ้า ด้วยค่านิยมของสังคมไทยยังชอบการมีผิวหน้าที่ผ่องใส
อันดับสอง ปัญหาโรคสิว รอยสิว มักเป็นกลุ่มวัยรุ่น
อันดับสาม ปัญหาริ้วรอย ผิวไม่กระชับ
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง บอกต้นตอของปัญหาเหล่านี้ว่า โดยธรรมชาติเมื่อกาลเวลาผ่านไปผิวพรรณก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดภาวะชราของผิวหนัง ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนี้มีสองประการหลัก คือ
1. ปัจจัยภายในร่างกาย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามวัยโดยธรรมชาติ
2. แสงแดด โดยเฉพาะการตากแดดซ้ำๆ เป็นเวลานานโดยปราศจากการป้องกันที่ดีพอ
ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์เกี่ยวกับเลเซอร์ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการประดิษฐ์เลเซอร์หลายชนิดสำหรับดูแลปัญหาผิวพรรณต่างๆ ทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพดีมากขึ้นอย่างชัดเจน เลเซอร์แต่ละชนิดมีศักยภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณแต่ละประเภทได้แตกต่างกัน ดังนั้นต้องเลือกใช้ชนิดของเลเซอร์ให้ถูกต้องเหมาะสม
มีนวัตกรรมการรักษาริ้วรอยอันเนื่องมาจากวัยใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่ได้รับความนิยมเป็นที่แพร่หลาย อย่างเช่น
1.เลเซอร์รักษาริ้วรอยบนใบหน้า สามารถลดริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยคล้ำบนใบหน้า ทำให้ผิวพรรณแลดูสดใส ด้วยเลเซอร์ชนิด Ablative และ Non-Ablative
- เลเซอร์ชนิด Ablative เลเซอร์ชนิดนี้จะไปทำลายผิวหนังในส่วนที่เกิดริ้วรอยแล้วกระตุ้นให้มีการสร้างผิวหนังและใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ริ้วรอยที่มีปัญหามีลักษณะดีขึ้น ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้ ได้แก่ การติดเชื้อ แผลเป็น และรอยคล้ำ
- เลเซอร์ชนิด Non- Ablative แสงเลเซอร์จะผ่านทะลุผิวหนังและทำให้อุณหภูมิในชั้นหนังแท้สูงขึ้นอย่าพอเหมาะ มีผลกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้นทำให้ริ้วรอยต่างๆ ดีขึ้น ไม่ทำให้เกิดบาดแผล สะดวกในการดูแลภายหลังการรักษา แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง โดยจะต้องทำการรักษาทุก 2 ถึง 3 สัปดาห์ติดต่อกันประมาณ 5 ครั้งจึงจะเห็นผลและได้ผลดีกับริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก
- เลเซอร์ชนิด Ablative เลเซอร์ชนิดนี้จะไปทำลายผิวหนังในส่วนที่เกิดริ้วรอยแล้วกระตุ้นให้มีการสร้างผิวหนังและใยคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ริ้วรอยที่มีปัญหามีลักษณะดีขึ้น ผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้ ได้แก่ การติดเชื้อ แผลเป็น และรอยคล้ำ
- เลเซอร์ชนิด Non- Ablative แสงเลเซอร์จะผ่านทะลุผิวหนังและทำให้อุณหภูมิในชั้นหนังแท้สูงขึ้นอย่าพอเหมาะ มีผลกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้นทำให้ริ้วรอยต่างๆ ดีขึ้น ไม่ทำให้เกิดบาดแผล สะดวกในการดูแลภายหลังการรักษา แต่การรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง โดยจะต้องทำการรักษาทุก 2 ถึง 3 สัปดาห์ติดต่อกันประมาณ 5 ครั้งจึงจะเห็นผลและได้ผลดีกับริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก
ก่อน
|
หลัง
|
2.เลเซอร์กำจัดขน สามารถกำจัดขนบริเวณที่ไม่ต้องการได้ โดยอาศัยหลักการพลังงานแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับด้วยโมเลกุล ของเม็ดสีที่อยู่ในเส้นขน จากนั้นพลังงานแสงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน พลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นจะไปทำลายเส้นขนและบางส่วนของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิดในการสร้างขน มีผลทำให้เส้นขนถูกกำจัด การกำจัดขนด้วยเลเซอร์จำเป็นต้องทำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง โดยควรทำการรักษาทุก 4-8 สัปดาห์ ประมาณ 4-8 ครั้ง จะไม่เกิดบาดแผล ผลข้างเคียงที่อาจพบ ได้แก่ รอยแดงหรือรอยคล้ำซึ่งจะค่อยๆ จางลง
ก่อน
|
หลัง
|
3. เลเซอร์รักษาเส้นเลือดขอด เส้นเลือดขอดที่มีขนาดไม่ใหญ่มากสามารถรักษาได้ด้วยเลเซอร์ แสงเลเซอร์จะถูกดูดซับด้วยเม็ดเลือดแดงที่อยู่ในบริเวณเส้นเลือดขอด พลังงานแสงจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนแล้วไปทำลายเส้นเลือดขอดในบริเวณนั้นๆ ภายหลังการรักษาไม่ทำให้เกิดบาดแผลแต่อาจมีรอยคล้ำจางๆ ซึ่งจะหายไปได้เอง
4.เลเซอร์รักษา ฝ้า ปานดำ และรบรอยสัก การรักษาปัญหาผิวหนังที่มีเม็ดสีมากผิดปกติ เช่น กระ ฝ้า ปานดำ และรอยสักด้วยเลเซอร์ชนิด Q-switched เมื่อฉายแสงเลเซอร์ไปที่บริเวณรอยโรค แสงเลเซอร์จะทำลายเฉพาะเม็ดสีทำให้เกิดการแตกสลายของเม็ดสี และเม็ดเลือดขาวจะเข้ามากินเม็ดสี มีผลทำให้รอยโรคจางลง รอยโรคบางชนิดรักษาโดยฉายแสงเลเซอร์เพียงครั้งเดียว แต่บางชนิดอาจต้องฉายเลเซอร์หลายครั้ง ใช้ระยะเวลาห่างกันในแต่ละครั้งประมาณ 6-8 สัปดาห์ ผลข้างเคียงการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้ ได้แก่ จุดเลือดออก รอยคล้ำ รอยด่าง หรือแผลเป็นนูน แต่พบได้น้อย
ก่อน
|
หลัง
|
5. เลเซอร์รักษาปานแดง ส่วนใหญ่ปานแดงเริ่มพบตั้งแต่วัยเด็ก อาจมีขนาดใหญ่และนูนหนาขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เมื่อฉายแสงเลเซอร์บริเวณที่เป็นปานแดง เม็ดเลือดแดงจะดูดซับพลังงานแสงเลเซอร์ มีผลให้เส้นเลือดผิดปกติในบริเวณนั้นถูกทำลาย ปานแดงจะค่อยๆ จางลงโดยเฉลี่ยต้องใช้การรักษาประมาณ 3-5 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน ประมาณ 6-8 สัปดาห์ ภายหลังการรักษาอาจเกิดรอยคล้ำจางๆ ซึ่งจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
ก่อน
|
หลัง
|
6.เลเซอร์รักษากระเนื้อและตุ่มเนื้องอกต่างๆ ตุ่มเนื้องอกต่างๆ บริเวณผิวหนังเช่น กระเนื้อ สิวหิน ไฝ และตุ่มไขมัน สามารถรักษาได้ด้วย เครื่องเลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide Laser) ก่อนการฉายแสงเลเซอร์ผู้ป่วยจะได้รับการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 45 นาที ดังนั้นระหว่างที่ทำการรักษาผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ภายหลังการรักษาจะมีแผล ผู้ป่วยต้องดูแลแผลให้สะอาดและทายาป้องกันการอักเสบประมาณ 3-7 วัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็น
7.เลเซอร์รักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยแผลเป็นจากสิว ฝ้า รอยด่างดำต่างๆ กระ, กระแดด รอยแผลเป็นจากสิว ฝ้า รอยด่างดำต่างๆ กระ, กระแดด, สีผิว ไม่สม่ำเสมอ สามารถรักษาโดยใช้ Fraxel Laser ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพจาก FDA (Food and Drug Administration) ของสหรัฐอเมริการับรองว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยในการรักษาข้อชี้บ่งต่างๆ ที่กล่าวมาในเบื้องต้น
ก่อน
|
หลัง
|
8. เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง ช่วยยกกระชับ แก้ไขภาวะหย่อนคล้อยของผิวหนัง และช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า การรักษาใช้เครื่อง Thermage ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีความถี่ของคลื่นวิทยุ (Radiofrequency : RF) สามารถช่วยกระชับแก้ไขภาวะหย่อนคล้อยของผิวหนัง และช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ลำคอ โดยความถี่ของคลื่นวิทยุ หรือ RF จะถูกส่งผ่านไปยังชั้นผิวหนังโดยมีเทอร์มาทิป (Therma TipTM ) เป็นอุปกรณ์ควบคุมปริมาณพลังงานของ RF เทอร์มาทิป จะสร้างความร้อนอย่าสม่ำเสมอให้แก่ใยคอลลาเจนที่อยู่ในชั้นหนังแท้ โดยอาศัยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Capactive Coupling
ในขณะเดียวกันจะให้ความเย็นเพื่อปกป้องผิวชั้นหนังกำพร้า โดยลักษณะความร้อนอย่างสม่ำเสมอในระดับที่เหมาะสม มีผลทำให้คอลลาเจนใต้ผิวหนังกระชับตัวในทันที ในขณะเดียวกันความร้อนจากพลังงานของ RF จะมีผลระยะยาวในการกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนให้เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ริ้วรอยย่น และการหย่อนคล้อยดีขึ้น การรักษาด้วย Thermage เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีอายุ 40-60 ปี ที่มีปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ลำคอ สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงภายหลังการรักษาเพียงครั้งเดียว โดยจะเห็นผลชัดเจนประมาณ 1-3 เดือนหลังทำการรักษา ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้แก่ อาการบวม เจ็บ บริเวณที่ทำการรักษาซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 1 ถึง 2 สัปดาห์ อาจพบลักษณะบุ๋มของผิวหนังแต่พบได้น้อยมากๆ ข้อควรระมัดระวังในการใช้ RF คือห้ามมิให้ใช้กับคนที่ใส่เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ (Pacemaker) เพราะอาจไปกระทบต่อการทำงานของเครื่อง
9.เทคโนโลยีคลื่นแสงความเข้มสูงช่วยยกกระชับ เป็นความก้าวหน้าในการใช้พลังงานแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 800-1,400 นาโนเมตร ใช้หลักการของ selective photothermolysis และเทคโนโลยีคลื่นแสงความเข้มสูง มาใช้ในการรักษาให้กับผิวที่มีลักษณะหย่อนคล้อยให้กลับมากระชับและดูเรียบเนียนขึ้น รอยเหี่ยวย่นลดลงและดูอ่อนเยาว์ การรักษาด้วย skin tyte มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมาก เป็นการรักษาแบบ non-invasive ซึ่งทำให้หลังการรักษาไม่มี Down Time หรือช่วงเวลาพักฟื้น คนไข้สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันและแต่งหน้าได้ตามปกติ
ก่อน
|
หลัง
|
นอกจากนี้ยังช่วยให้รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวดูจางลงลบช่วยลดขนาดของรูขุมขนให้ลดลงและควบคุมต่อมไขมันได้อีกด้วย skin tyte ใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอินฟาเรด ส่งความร้อนผ่านผิวชั้นบน (Epidermis) ลงสู่ใต้ผิว (dermis) กระบวนการของร่างกายจะทำการกระตุ้นและซ่อมแซม ทำให้คลอลาเจนเกิดการหดตัวและเกิดการสร้างคลอลาเจนขึ้นมาใหม่เป็นไปตามกระบวนการธรรมชาติ เกิดการยกกระชับของเนื้อเยื่อและลดการหย่อนคล้อยของผิวแบบทันที (Immediate) ในขณะเดียวกันมีการปกป้องผิวชั้นบน (Epidermis) ด้วยความเย็นที่สามารถตั้งอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 0-30 องศาเซลเซียส มีความต่อเนื่องแม่นยำและมีประสิทธิภาพผ่าน sapphire crystal ก่อน-หลังและตลอดที่ทำการรักษา ทำให้คนไข้รู้สึกสบายขณะทำการรักษา, ช่วยลดความร้อนที่จะเกิดขึ้นที่ผิวด้านบน, ความเจ็บที่อาจเกิดขึ้น และลดการบาดเจ็บของโครงสร้างผิวหนังภายในได้ดี
Credit : มติชนออนไลท์