การศึกษาแย่ สังคมเสื่อม ปัญหาพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่วัยใส ทำอนาคตเด็กไทยน่าวิตก งานวิจัยแนะเร่งลดช่องว่างเด็ก-ผู้ใหญ่ สร้างครอบครัวอบอุ่น กตัญญูปู่ย่าตายาย ก่อนสังคมวิกฤติ
จากการศึกษารวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย ปี พ.ศ.2553 ซึ่งสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบให้สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โดยทีมวิจัยของจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิจัยอาวุโส ค้นพบว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสังคมในปัจจุบันทั้งภายในประเทศและกระแสสากลทำให้เด็กเยาวชนต้องเผชิญความท้าทายใหม่ๆอันเป็นอุปสรรคและอันตรายต่อการดำเนินชีวิต มีแนวโน้มปัญหารุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น
การวิเคราะห์หาสาเหตุและแนวทางแก้ไขปัญหาต้องอาศัยข้อมูลที่มีความต่อเนื่องทันต่อสถานการณ์ จึงจะสามารถใช้กำหนดนโยบายหรือมาตรการป้องกันแก้ปัญหาเกี่ยวได้ตรงเป้าหมายและเหมาะสม การศึกษานี้เป็นการรวบรวมข้อมูลด้านเด็กครอบคลุมทุกประเด็น ทำให้เห็นภาพรวมสภาวการณ์ตั้งแต่เกิดไปจนถึงวัยเรียนจบมีงานทำ ข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัว สุขภาพกายและสุขภาพจิต การศึกษา การมีงานทำ การใช้เวลาว่าง การปกป้องคุ้มครอง สภาเด็กและเยาวชน ตลอดจนงบประมาณพัฒนาเด็กและเยาวชน
และยังได้การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง 5-10 ปีทำให้เห็นแนวโน้มสถานการณ์และปัญหาซึ่งมีข้อน่าห่วงใยหลายประการ ได้แก่ อัตราเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่สูงขึ้นและกำลังจะเป็นปัญหา ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ แต่เหตุผลหลักไม่ได้มาจากปัญหาพ่อแม่หย่าร้างดังที่เคยเข้าใจ แต่มาจากปัญหาเศรษฐกิจที่พ่อแม่ต้องไปทำงาน จึงให้ลูกอยู่กับปู่ย่าตายายหรือฝากคนอื่นดูแลแทน จึงมีปัญหาความอบอุ่นในครอบครัวและช่องว่างการสื่อสารระหว่างวัยของเด็กกับปู่ย่าตายายที่ดูแล ในขณะที่การเข้าถึงการสื่อสารสมัยใหม่ทั้งโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ทำให้อาจเกิดการใช้อย่างไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมเลียนแบบหรือคึกคะนอง เด็กจึงอาจจะเติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร
การที่ครอบครัวไทยมีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมประเพณี ความกตัญญูกตเวทีและการดูแลปู่ย่าตายาย เช่น การดูแลเรื่องอาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ ป่วยก็พาไปหาหมอ การที่เด็กไม่เคยเห็นแบบอย่างเหล่านี้จึงเป็นเรื่องน่ากังวลว่าจะไม่สามารถดูแลคนแก่ในสังคมที่จะมีผู้สูงอายุจำนวนมากในอนาคต สังคมจึงพึงตระหนักและควรรณรงค์สร้างจิตสำนึจิตอาสาในเด็กในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น เช่น จิตอาสาในโรงพยาบาล ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้เป็นความเคยชินจนแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันแม้เด็กกล้าพูดกล้าแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่กลับมีสัมมาคารวะความเคารพผู้ใหญ่น้อยลง
การศึกษายังพบปัญหาแม่วัยใสมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ แต่อัตราแม่วัยใสก็ยังคงน่าตกใจคือเพิ่มขึ้นถึง 20% ของคนคลอด (อายุต่ำกว่า 19 ปี) และหากเกิดขึ้นในกลุ่มคนระดับล่างที่ไม่มีศักยภาพการดูแลทั้งตัวเองและครอบครัว ก็ไม่อาจหลุดพันจากวังวนเดิมๆเหล่านี้ได้ เช่น ครอบครัวหนึ่งในชุมชนแออัดใจกลางกรุงเทพฯ มีเด็กหญิง ป.3 แต่ยังอ่านเขียนไม่ได้และไม่อยากไปโรงเรียน เด็กคนนี้มียายอายุราว 30 ปีเท่านั้น และทั้งแม่และยายมีการศึกษาระดับพื้นฐาน แต่ด้วยภาวะครอบครัวต้องดิ้นรนจึงไม่มีเวลาสอนการบ้านให้เด็ก หนทางที่เด็กคนนี้จะหลุดพ้นภาวะความยากจนด้วยการได้รับศึกษาที่ดีจึงเป็นไปได้ยาก
สำหรับเรื่องดีๆที่ค้นพบจากการวิจัยคือ เด็กเข้าถึงการศึกษาดีขึ้นมาก(แต่ไม่เกี่ยวกับคุณภาพ) และที่ดีที่สุดคือเข้าถึงระบบสาธารณสุข มีการฝากครรภ์ การดูแล การได้รับวัคซีน แต่เป็นการเข้าไปดูแลที่ปลายเหตุ และไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคนคุณภาพ
การแก้ปัญหาที่ผ่านมาแม้จะมีความพยายามทำกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือแก้ไม่ตรงจุด ต่างคนต่างทำ จึงควรประสานเครือข่ายและทำร่วมกันในระดับชาติ
ยังมีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นสถานการณ์เด็กและเยาวชนระดับจังหวัด โดยจากการศึกษาสถานการณ์ความยากจนในเด็กไทย ภายใต้สนับสนุนจากองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNICEF) เปรียบเทียบข้อมูลปี 2549 กับ 2551 โดยหาว่าการขาดแคลนของเด็กในมิติต่างๆมีความสัมพันธ์กับความยากจนตัวเงินมากน้อยเพียงใด พบว่า มีหลายเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขาดแคลนเงิน เช่น ทารกที่ไม่ได้รับนมแม่(ทารกอายุ 6-11เดือน)ไม่ได้เป็นปัญหาของครัวเรือนที่ยากจน แต่พบในครัวเรือนที่ไม่ได้ยากจน แนวทางบรรเทาปัญหานี้จึงไม่ใช่การเพิ่มเงินหรือรายได้ให้ครอบครัว แต่เป็นประเด็นอื่นๆ เช่น การจัดสรรเวลาและความสะดวกในการให้นมบุตรของแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน อาจทำได้โดยการขอความร่วมมือให้สถานประกอบการจัดสถานที่และอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกสำหรับให้แม่เก็บนมไว้ให้ลูกได้
จากการจัดทำดัชนีความขาดแคลนโดยรวม โดยเลือกเฉพาะตัวชี้วัดที่มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับความยากจนด้านตัวเงิน 17 ตัวชี้วัดใน 8 มิติ และกำหนดเกณฑ์จัดระดับความขาดแคลนของแต่ละตัวชี้วัดในระดับครัวเรือนสำหรับแต่ละมิติเป็น 3 ระดับ คือ ไม่มีปัญหา มีปัญหา และมีปัญหารุนแรง จากนั้นนำความขาดแคลนในต่างมิติมาสรุปรวมพบว่า ความขาดแคลนในเด็กและเยาวชนมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรระหว่างปี 2549 และปี 2551 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีสัดส่วนของครัวเรือนที่เด็กและเยาวชนมีความขาดแคลนในระดับรุนแรงมากสูงที่สุด (ร้อยละ 6.67 และ 4.76 ของครัวเรือนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมดในปี 2549 และ 2551 ตามลำดับ)
ผลการศึกษาสะท้อนนัยยะว่าผู้กำหนดนโยบายไม่ควรให้ความสนใจเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจนทางการเงินเท่านั้น เพราะมีความขาดแคลนขัดสนบางอย่างที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือมีความสัมพันธ์ตรงกันข้ามกับความยากจนทางการเงิน การจัดสรรงบประมาณลงในพื้นที่เช่นในระดับจังหวัดและระดับภูมิภาค ควรคำนึงถึงสถานการณ์ความขาดแคลนที่เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับบางพื้นที่ด้วย
………………………..
ปัญหาเด็กและเยาวชนนั้นซับซ้อน หากผู้ใหญ่เข้าใจและยอมรับด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ย่อมแก้ไขได้ ที่สำคัญต้องทำให้การลงทุนปีละหลายแสนล้านบาทถูกนำไปใช้เพื่อการศึกษาและพัฒนาเด็กให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง.
เขียนโดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ข้อมูล - สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย