22 ก.ค. 2555

[ไลค์สาระ] - "แพทย์ทหาร" กับ "แพทย์" ต่างกันยังไงหนอ?


เห็นช่วงนี้มีน้องๆหลายคนเขียนบลอคเกี่ยวกับสอบตรงแพทย์ เราเลยอยากมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัวคือเรื่องของหมอๆ กันบ้าง (นานๆทีจะหาเอนทรี่ที่มีสาระกะเขาได้บ้างนะยะ-*-) แต่จะพูดถึงความต่างระหว่าง "หมอ" กับ"หมอทหาร" นะคะ 
          บทความนี้เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากบทความเดิมของพี่โตโต้ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจากเวปเด็กดี มาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมหรือดัดแปลงอัพเดทข้อมูลใหม่ๆเข้าไปเพิ่มนะคะ เพราะของเดิมเป็นช่วงที่พระมงกุฎยังใช้ระบบของนักเรียนแพทย์ทหารแบบเก่าอยู่ แต่ปัจจุบันนักเรียนแพทย์ทหารมีเพียง 20 คน อีก 80 คนเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดาค่ะ ฉะนั้นรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆจึงต่างกันออกไป เลยมาขอ review เพิ่มเติมนะคะ ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครจะเลือกว่าหนูจะเป็นอะไรดี  หมอ  หรือหมอทหาร  หรือว่าอย่าไปเป็นมันเลยทั้งคู่
          ก่อนอื่นเรามาดูทางด้านหมอก่อนดีก่า     พี่เชื่อว่าคงมีหลายๆคนนะที่อยากเข้าหมอแต่ก่อนอื่นต้องถามใจตัวเองก่อนว่าที่อยากเข้าหมอน่ะเพราะอะไรหรอ....   ส่วนมากน่ะมักจะตอบแบบนางสาวไทยละสิ  \"หนูอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ\"  ชัวร์เลย  อันนั้นมันก็ความคิดที่ดีค่ะน้องๆแต่ต้องดูว่ามันจริงแท้แค่ไหนเพราะพี่เห็นหลายคนตอนสัมภาษณ์ก็อยากช่วยเพื่อนมนุษย์แต่พอต้องออกต่างจังหวัดตอนใช้ทุนก็เลยเปลี่ยนใจมาช่วยตัวเองดีก่า  หลายคนแล้วค่ะ  
            ส่วนพี่น่ะเหรอ เนื่องจากเกลียดวิชาคำนวนเข้าไส้แล้ว อาชีพอื่นก็ไม่รู้เลยว่าจบแล้วมันทำงานประเภทไหน ยังไง คือไม่เคยติดตามข่าวสารจากทางอื่นๆเหมือนกบในกะลายังงั้น กอปรกับชอบวิชาชีวะเป็นทุนเดิม แล้วก็สนใจและรักในวิชาชีพนี่อยู่แล้ว แล้วใครจะรู้ล่ะว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ หรือว่าท้อใจไม่อยากรักษาคนไข้แล้ว  ก็ต้องมาดูก่อนว่าน้องจะรับชีวิตอันแสนจะรำเค็ญของนักเรียนแพทย์ได้หรือเปล่า  พี่จะเล่าให้ฟังแล้วน้องจะซึ้ง....
            อันดับแรกน้องก็ต้องเก็บตัวฝึกซ้อมฝีมือ  พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลมากๆ  เพื่อจะได้มั่วข้อสอบเอ็นท์  เอาให้มันติดหมอกะชาวบ้านเค้า  นี่คือความเซ็งอันดับ 1  ..


           .. ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาลัย  น้องก็จะต้องเรียน  basic sci. หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ   ทั้ง bio-chem., microbio., physic, calaulus,  และอีกมหาศาลราวๆ44-48หน่วยกิต   ทั้งๆที่มหาลัยส่วนมากเค้าให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วย  แต่เราคือยอดมนุษย์เราต้องทำได้น้อง
           ..พอปีสองความแกร่งและอึดที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้เริ่มเอามาใช้ซะที   ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆหลายอย่างที่เกี่ยวกะร่างกายมนุษย์ที่เป็นปกติ  ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองด้วยตาเปล่า(anatomy)หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ   ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด(ห้ามคิดว่าเหมือนดูหนังโป๊นะ) เรียกว่าคลุกคลีกะศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม  แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียนเคมีในร่างกายเรา  เรียนว่าร่างกายหล่อๆสวยๆของเรานี้มันทำงานกันยังไงน๊อ... เค้าเรียกว่าวิชา physiology  แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆเนี่ยเราทำไปได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร  แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย  เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...


         ..พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติมาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค   เวลาไม่สบายเป็นไงน๊อ.. เชื้อโรคคือใครหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกะยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยละ   แล้วมันจัดการกะเชื้อโรคได้ไงเนี่ย...  วิชายากๆทั้งนั้นเลย   เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ)  คนอื่นเรียนหมาลัยมีคาบว่างพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก   คาบว่างทีนี่ยังกะขึ้นสวรรค์  ..อยากหยุดเวลาไว้จัง   แล้วพอปลายๆปีสามน้องก็จะเริ่มๆได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ  อาจารย์จะพาไปชม  ไปพูดคุย  คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า    ส่วนเราก็จะคิดในใจเอาวะ!!!  ถึงจะโง่ก็ขอเก็กทำท่าหมอไว้ก่อน  ไม่มีความรู้ก็ทำหน้าเหมือนมีความรู้เข้าไว้  คนไข้เห็นแล้วศรัทธาโคตรๆ...จบปีสาม  คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!


           ..ขึ้นปี4  เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว   เค้าเป็นอะไร ป่วยเมื่อไหร่  เรียนที่ไหน  คณะอะไร  มีแฟนยัง... ซักประวัติมาให้หมด   เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา    แล้วเค้นมันออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรน๊า   แต่ละวันตื่นมา ต้องไปเยี่ยมค้นไข้ดูอาการเค้าก่อน  ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่าจากกันไปทั้งคืนหมออ่ะเป็นห่วงคุณแทบแย่นะเนี่ย  จากนั้นก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง   จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น   โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม   โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด  ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืนแล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ แล้วก็ต้องไปบ๊ายบายคนไข้ก่อนจะจากกันอีกหนึ่งคืน  เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง  รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน  เอาวะ!!...3วันอยู่เวรทีนึงไม่ตายหรอกหน่า  ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ  พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง  ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆที่ว่า  คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยก็รักษาจะมาหยุดได้ไง  จริงอ๊ะป่าว  หมอเลยไม่มีเสาร์  ไม่มีอาทิตย์  ไม่มีวันหยุด  ทำงานแบบ 7-11  จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า  รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาว่ามาไกลละเปลี่ยนใจไม่ทันละนี่นา  จบปี4ฉันตรวจร่างกายเป็น  พอจะบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรน๊า....  เก่งโคตรๆอ่ะ  ปิดเทอมซะ14วันได้มั้ง    ปิดทำไมก็ไม่รู้เนี่ย


            ..ขึ้นปี 5 ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆปลาๆให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ  เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง   ตายมั่ง รอดมั่ง  เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง   จนปลายปี สอบรวมคราวนี้หล่ะวัดกันเลยใครจบ   ใครไม่จบ  ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอ็นท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้(ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าเอาใหม่ได้)


             ..พอปี6 คราวนี้ใครๆเค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง  กลางวันตรวจคนไข้  กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้  อ่ะโห..พี่หมอคะ  พี่หมอขา   เท่โคตรๆอ่ะ   จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน  อ่อนล้า  เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้  ล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว   ชีวิตนักเรียนแพทย์มันชั่งยากเย็นอะไรเช่นนี้   แต่น่าแปลกที่คนเก่งๆทั้งหลายต่างแก่งแย่งกันเข้ามาเรียน เข้ามาแบกรับชีวิตของคนอื่นเค้าไว้ในมือ  เพราะอะไรน่ะหรือ  ก็เพราะเขาเหล่านั้นรักที่จะเป็นหมอน่ะสิคำตอบนี้แหละที่จะทำให้น้องหายเหนื่อย  และไม่เคยใฝ่หาการพักผ่อนเลยตราบเท่าที่คนไข้ในมือยังไม่หายป่วย  ความสุขใจเมื่อได้เห็นคนไข้หายป่วยแล้วเดินกลับบ้านไปมันคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตน้องให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ  แต่ถ้าคำตอบของน้องคือที่ฉันมาเรียนหมอน่ะเพราะอนาคตฉันจะได้มีอาชีพที่มั่นคง  มีคนนับหน้าถือตา  คำตอบนี้เองที่จะทำให้น้องเรียนจบหมอโดยที่ไม่ได้เป็นหมอเลยแม้สักวินาทีเดียว


              เรียนจบละ... ออกไปทำงานใช้ทุน   อยู่ต่างจังหวัดโชคดีก็ได้ที่สบาย  อยู่ในเมือง โชคร้ายหน่อยก็นู่น  เข้าป่าเป็นหมอผีไป  ทั้งอนามัยมีแต่ ยาแดงกะพารา  รักษาใครได้มั่งก็ม่ายรู้  อยู่เวรคืนเว้นคืน  นอนตอนไหนไม่รู้  อยู่ๆตีสองตื่นมา  คุณหมอหนูจะคลอด   แล้วเราจะนอนต่อได้ไงล่ะเนี่ย เอ้าทำคลอดกันไป    นึกซะว่าฝันไปละกันนะ  แล้วก็เป็นแบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต...

จบเรื่องหมอ     มาดูหมอทหารกันมั่ง  

           อัพเดทว่าตอนนี้นโยบายการรับนักศึกษาเข้าเรียนแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ นักเรียนแพทย์ทหารสังกัดกองทัพบก รับเป็นชายล้วน 20 คน กับอีก 80 คนที่เหลือเป็นนักศึกษาแพทย์ เหมือนกับหมอในบทความด้านบนค่ะ 

               ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องอยากเข้ากันก็คือ รร.นายร้อยตั้งแต่นายร้อย จปร(ของทัพบก)   โรงเรียนนายเรือ  โรงเรียนนายเรืออากาศล่ะสิ    แต่ขอบอกชาติไทยของน้องๆน่ะมีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้ยศว่าที่ร้อยตรีด้วย     เค้าคือ.....โรงเรียนของหมอทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง(ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด  เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ  มีหวังหมอตายก่อน  แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนหมอทหารขึ้นมา  เรียนหมอด้วย  ฝึกทหารด้วย  ออกรบจะได้สู้เค้าได้  ไม่ถ่วงกองทัพ   รอดตายกลับมา   เรียน 6ปีเหมือนที่อื่นๆจบมาเป็นร้อยตรีเหมือน  จปร. เด๊ะๆ  เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน (แต่หล่อกว่า  ขาวกว่า) แถมที่นี่ยังรับผู้หญิงด้วยนะ  แล้วเค้าทำไรกันมั่งหรอมาดูกันเลยดีก่า...
                ก่อนอื่นเข้ามาปีหนึ่งก็ใช้ชีวิตแบบพลเรือนทั่วๆไปนะแหละ  ผมยาว  อ้วนเป็นหมู ใครใคร่อยากทำอะไรทำ ผ่านไปแสนสบาย (แต่อย่าลืมว่าก็ต้องเรียนหนังสือหนักพอๆกับหมอที่อื่นเค้าเหมือนกันนะ) ซึ่งปีแรก จะถูกส่งไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน (แถวๆ central ลาดพร้าว) โดยเข้าเรียนร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ของมก.เหมือนกัน แต่มีบางวิชาที่ส่วนใหญ่พวกเราจะได้เรียนแยก Class ออกมาเนื่องจากเนื้อหาและหลักสูตรไม่เหมือนกับคณะวิทยาฯ


                ..พอปีสองละครชีวิตก็เปลี่ยนไป   ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวแบบนักโทษ  แต่เวลาออกงานแต่ชุดเต็มยศโคตรหล่อเลย  วันๆเอาแต่ ฝึก..ฝึก..ฝึก..นอน..ฝึก.  เท่านั้นแหละ  ราวๆ2-3เดือนได้ ไม่ได้กลับบ้าน   นอนดึกตื่นเช้า  ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆปิดเทอมไปเที่ยวกัน  แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ... หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้  แต่น้องๆที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง  คำสั่งของพี่ๆและคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้  ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเรางี๊เลยไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้  วิดพื้นมั่ง  วิ่งมั่ง  ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ  เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว  ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ  น้องๆสบายใจได้) สำหรับน้องๆผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายนะคะไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้านะ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้  เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาวะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา  ฝึกเป็นฝึก  จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที  ชีวิตนี้เพื่อชาติ  ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน  ซึ้งจริงๆ  แต่โคตรเหนื่อยเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ   แถมยังต้องมาเรียนหมออีก  แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างมั้ยเนี่ย  
              อ้อ แต่ตอนนี้การฝึกเขาปรับให้เบาลงเยอะแล้วนะ ถ้าเทียบกับสมัยพี่โตโต้กับเราเอง สมัยพี่เขาถือว่าหนักมากจริงๆ คือฝึกแบบนักเรียนนายร้อยของแท้เลย แต่สมัยเราก็เบาขึ้นมาก ยิ่งสมัย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เหมือนการออกกำลังกายเฉยๆเอ๊ง ไม่ต้องไปกลัวนะคะว่าอะไรมันจะโหดปานนั้นวะ 


               ..พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง  เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่...  ถ่ายทอดวิทยายุทธให้รุ่นน้องซะ   จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง  แล้วพอตอนปลายปี  ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง   ทำไงถึงจะรอดตาย  แล้วยังรักษาคนได้ด้วย  เท่โคตรอ่ะ)  แล้วก็ออกไปเรียนกระโดดร่ม   โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆเลย   มันมากๆๆๆๆๆๆ   ได้ขึ้นชีนุคจริงๆก็คราวนี้แหละรับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอบเตอร์ที่มีสองใบพัดอ่ะ  เป็นฮ.ลำเลียง ที่น้องๆเห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ  ถ้าเคยเล่นนะ)  กลับมาก็ติดร่มเท่ๆไว้ที่หน้าอก   ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ..  ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง


                ..พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย   ก็เพราะว่าหนูต้องดูแลคนไข้  จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวตายกันพอดี   ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ  แต่ระเบียบคือระเบียบ   อาวุโสคืออาวุโส  ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆซ่อนๆเอา   จับไม่ได้ก็สบายไป  จับได้ก็ซวยโคตร   ยังกะทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของ รร. ม.ปลายตีก้น  อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน  คล้ายๆกับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ ด้วยนิดๆ ทำนองนั้น

                ..พอปี 5  ใกล้จบละ  ฉันเริ่มมีอำนาจแล้ว  ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ    เป็นคนรักษากฎ  ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป    อำนาจอยู่ในมือเราแล้วนี่นา  แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้วนี่  ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว  สอบตกกันหมดพอดี


                ..ปี 6พี่ใหญ่!!..คราวนี้  เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา   น้องๆชั่งน่ารัก เชื่องกันซะทุกคนเลย   แต่พี่ๆปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก  เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ  กลับมาหอทีนึงแทบจำหน้าไม่ได้  นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก  ก็ดาวมันจะติดบ่าอยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอเวลาออกรบน่ะทำไรมั่ง   เผื่อเจอของจริงจะได้ไม่ตาย  เอาตัวเองและคนอื่นกลับมาด้วยนะครับหมอ...  จบซะที 6ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย



              จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร   ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆอ่านมาหรอก   คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า  จริงๆแล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ  อยู่เวรนะ   คนไข้เยอะนะ    เงินเดือนน้อยนะ   ถ้าอยากได้เงินเยอะๆแปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ  แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้มั้ยเนี่ย  ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆเค้านะ    ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้   ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ  สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน เสียสละมือของเราให้คนอื่นเค้าเอาชีวิตมาวางไว้ด้วยกัน(ฟังดูเท่ซะ...) แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลืกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียนอ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา  เพราะหมอที่คนไข้อยากได้   คือหมอที่เป็นทั้งคนดีและเก่ง  ไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด   ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิ


               แล้วจะเป็นหมอทหารดีมั้ยล่ะ  ชอบทหารมั้ยเนี่ย    ฝึกไหวรึเปล่า   ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวมั้ยล่ะ  ผมสั้นนะ  เครื่องแบบเท่ก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ  ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน  เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก  ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน   แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเค้าน่ะ  พร้อมจะแลกมั้ยล่ะ  เครื่องแบบเท่ๆ  สวัสดิการสุดเลิศ  ยศฐาบรรดาศักดิ์   แลกกับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก  ก็เข้ามา...หมอทหารไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด  เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ   นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆก็ไหวค่ะ ขอแค่ใจสู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไป แต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ 
 เห็นช่วงนี้มีน้องๆหลายคนเขียนบลอคเกี่ยวกับสอบตรงแพทย์ เราเลยอยากมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัวคือเรื่องของหมอๆ กันบ้าง (นานๆทีจะหาเอนทรี่ที่มีสาระกะเขาได้บ้างนะยะ-*-) แต่จะพูดถึงความต่างระหว่าง "หมอ" กับ"หมอทหาร" นะคะ 
          บทความนี้เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากบทความเดิมของพี่โตโต้ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจากเวปเด็กดี มาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมหรือดัดแปลงอัพเดทข้อมูลใหม่ๆเข้าไปเพิ่มนะคะ เพราะของเดิมเป็นช่วงที่พระมงกุฎยังใช้ระบบของนักเรียนแพทย์ทหารแบบเก่าอยู่ แต่ปัจจุบันนักเรียนแพทย์ทหารมีเพียง 20 คน อีก 80 คนเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดาค่ะ ฉะนั้นรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆจึงต่างกันออกไป เลยมาขอ review เพิ่มเติมนะคะ ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครจะเลือกว่าหนูจะเป็นอะไรดี  หมอ  หรือหมอทหาร  หรือว่าอย่าไปเป็นมันเลยทั้งคู่
          ก่อนอื่นเรามาดูทางด้านหมอก่อนดีก่า     พี่เชื่อว่าคงมีหลายๆคนนะที่อยากเข้าหมอแต่ก่อนอื่นต้องถามใจตัวเองก่อนว่าที่อยากเข้าหมอน่ะเพราะอะไรหรอ....   ส่วนมากน่ะมักจะตอบแบบนางสาวไทยละสิ  \"หนูอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ\"  ชัวร์เลย  อันนั้นมันก็ความคิดที่ดีค่ะน้องๆแต่ต้องดูว่ามันจริงแท้แค่ไหนเพราะพี่เห็นหลายคนตอนสัมภาษณ์ก็อยากช่วยเพื่อนมนุษย์แต่พอต้องออกต่างจังหวัดตอนใช้ทุนก็เลยเปลี่ยนใจมาช่วยตัวเองดีก่า  หลายคนแล้วค่ะ  
            ส่วนพี่น่ะเหรอ เนื่องจากเกลียดวิชาคำนวนเข้าไส้แล้ว อาชีพอื่นก็ไม่รู้เลยว่าจบแล้วมันทำงานประเภทไหน ยังไง คือไม่เคยติดตามข่าวสารจากทางอื่นๆเหมือนกบในกะลายังงั้น กอปรกับชอบวิชาชีวะเป็นทุนเดิม แล้วก็สนใจและรักในวิชาชีพนี่อยู่แล้ว แล้วใครจะรู้ล่ะว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ หรือว่าท้อใจไม่อยากรักษาคนไข้แล้ว  ก็ต้องมาดูก่อนว่าน้องจะรับชีวิตอันแสนจะรำเค็ญของนักเรียนแพทย์ได้หรือเปล่า  พี่จะเล่าให้ฟังแล้วน้องจะซึ้ง....
            อันดับแรกน้องก็ต้องเก็บตัวฝึกซ้อมฝีมือ  พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลมากๆ  เพื่อจะได้มั่วข้อสอบเอ็นท์  เอาให้มันติดหมอกะชาวบ้านเค้า  นี่คือความเซ็งอันดับ 1  ..


           .. ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาลัย  น้องก็จะต้องเรียน  basic sci. หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ   ทั้ง bio-chem., microbio., physic, calaulus,  และอีกมหาศาลราวๆ44-48หน่วยกิต   ทั้งๆที่มหาลัยส่วนมากเค้าให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วย  แต่เราคือยอดมนุษย์เราต้องทำได้น้อง
           ..พอปีสองความแกร่งและอึดที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้เริ่มเอามาใช้ซะที   ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆหลายอย่างที่เกี่ยวกะร่างกายมนุษย์ที่เป็นปกติ  ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองด้วยตาเปล่า(anatomy)หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ   ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด(ห้ามคิดว่าเหมือนดูหนังโป๊นะ) เรียกว่าคลุกคลีกะศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม  แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียนเคมีในร่างกายเรา  เรียนว่าร่างกายหล่อๆสวยๆของเรานี้มันทำงานกันยังไงน๊อ... เค้าเรียกว่าวิชา physiology  แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆเนี่ยเราทำไปได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร  แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย  เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...


         ..พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติมาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค   เวลาไม่สบายเป็นไงน๊อ.. เชื้อโรคคือใครหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกะยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยละ   แล้วมันจัดการกะเชื้อโรคได้ไงเนี่ย...  วิชายากๆทั้งนั้นเลย   เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ)  คนอื่นเรียนหมาลัยมีคาบว่างพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก   คาบว่างทีนี่ยังกะขึ้นสวรรค์  ..อยากหยุดเวลาไว้จัง   แล้วพอปลายๆปีสามน้องก็จะเริ่มๆได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ  อาจารย์จะพาไปชม  ไปพูดคุย  คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า    ส่วนเราก็จะคิดในใจเอาวะ!!!  ถึงจะโง่ก็ขอเก็กทำท่าหมอไว้ก่อน  ไม่มีความรู้ก็ทำหน้าเหมือนมีความรู้เข้าไว้  คนไข้เห็นแล้วศรัทธาโคตรๆ...จบปีสาม  คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!


           ..ขึ้นปี4  เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว   เค้าเป็นอะไร ป่วยเมื่อไหร่  เรียนที่ไหน  คณะอะไร  มีแฟนยัง... ซักประวัติมาให้หมด   เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา    แล้วเค้นมันออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรน๊า   แต่ละวันตื่นมา ต้องไปเยี่ยมค้นไข้ดูอาการเค้าก่อน  ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่าจากกันไปทั้งคืนหมออ่ะเป็นห่วงคุณแทบแย่นะเนี่ย  จากนั้นก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง   จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น   โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม   โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด  ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืนแล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ แล้วก็ต้องไปบ๊ายบายคนไข้ก่อนจะจากกันอีกหนึ่งคืน  เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง  รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน  เอาวะ!!...3วันอยู่เวรทีนึงไม่ตายหรอกหน่า  ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ  พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง  ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆที่ว่า  คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยก็รักษาจะมาหยุดได้ไง  จริงอ๊ะป่าว  หมอเลยไม่มีเสาร์  ไม่มีอาทิตย์  ไม่มีวันหยุด  ทำงานแบบ 7-11  จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า  รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาว่ามาไกลละเปลี่ยนใจไม่ทันละนี่นา  จบปี4ฉันตรวจร่างกายเป็น  พอจะบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรน๊า....  เก่งโคตรๆอ่ะ  ปิดเทอมซะ14วันได้มั้ง    ปิดทำไมก็ไม่รู้เนี่ย


            ..ขึ้นปี 5 ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆปลาๆให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ  เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง   ตายมั่ง รอดมั่ง  เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง   จนปลายปี สอบรวมคราวนี้หล่ะวัดกันเลยใครจบ   ใครไม่จบ  ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอ็นท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้(ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าเอาใหม่ได้)


             ..พอปี6 คราวนี้ใครๆเค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง  กลางวันตรวจคนไข้  กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้  อ่ะโห..พี่หมอคะ  พี่หมอขา   เท่โคตรๆอ่ะ   จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน  อ่อนล้า  เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้  ล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว   ชีวิตนักเรียนแพทย์มันชั่งยากเย็นอะไรเช่นนี้   แต่น่าแปลกที่คนเก่งๆทั้งหลายต่างแก่งแย่งกันเข้ามาเรียน เข้ามาแบกรับชีวิตของคนอื่นเค้าไว้ในมือ  เพราะอะไรน่ะหรือ  ก็เพราะเขาเหล่านั้นรักที่จะเป็นหมอน่ะสิคำตอบนี้แหละที่จะทำให้น้องหายเหนื่อย  และไม่เคยใฝ่หาการพักผ่อนเลยตราบเท่าที่คนไข้ในมือยังไม่หายป่วย  ความสุขใจเมื่อได้เห็นคนไข้หายป่วยแล้วเดินกลับบ้านไปมันคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตน้องให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ  แต่ถ้าคำตอบของน้องคือที่ฉันมาเรียนหมอน่ะเพราะอนาคตฉันจะได้มีอาชีพที่มั่นคง  มีคนนับหน้าถือตา  คำตอบนี้เองที่จะทำให้น้องเรียนจบหมอโดยที่ไม่ได้เป็นหมอเลยแม้สักวินาทีเดียว


              เรียนจบละ... ออกไปทำงานใช้ทุน   อยู่ต่างจังหวัดโชคดีก็ได้ที่สบาย  อยู่ในเมือง โชคร้ายหน่อยก็นู่น  เข้าป่าเป็นหมอผีไป  ทั้งอนามัยมีแต่ ยาแดงกะพารา  รักษาใครได้มั่งก็ม่ายรู้  อยู่เวรคืนเว้นคืน  นอนตอนไหนไม่รู้  อยู่ๆตีสองตื่นมา  คุณหมอหนูจะคลอด   แล้วเราจะนอนต่อได้ไงล่ะเนี่ย เอ้าทำคลอดกันไป    นึกซะว่าฝันไปละกันนะ  แล้วก็เป็นแบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต...

จบเรื่องหมอ     มาดูหมอทหารกันมั่ง  

           อัพเดทว่าตอนนี้นโยบายการรับนักศึกษาเข้าเรียนแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ นักเรียนแพทย์ทหารสังกัดกองทัพบก รับเป็นชายล้วน 20 คน กับอีก 80 คนที่เหลือเป็นนักศึกษาแพทย์ เหมือนกับหมอในบทความด้านบนค่ะ 

               ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องอยากเข้ากันก็คือ รร.นายร้อยตั้งแต่นายร้อย จปร(ของทัพบก)   โรงเรียนนายเรือ  โรงเรียนนายเรืออากาศล่ะสิ    แต่ขอบอกชาติไทยของน้องๆน่ะมีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้ยศว่าที่ร้อยตรีด้วย     เค้าคือ.....โรงเรียนของหมอทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง(ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด  เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ  มีหวังหมอตายก่อน  แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนหมอทหารขึ้นมา  เรียนหมอด้วย  ฝึกทหารด้วย  ออกรบจะได้สู้เค้าได้  ไม่ถ่วงกองทัพ   รอดตายกลับมา   เรียน 6ปีเหมือนที่อื่นๆจบมาเป็นร้อยตรีเหมือน  จปร. เด๊ะๆ  เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน (แต่หล่อกว่า  ขาวกว่า) แถมที่นี่ยังรับผู้หญิงด้วยนะ  แล้วเค้าทำไรกันมั่งหรอมาดูกันเลยดีก่า...
                ก่อนอื่นเข้ามาปีหนึ่งก็ใช้ชีวิตแบบพลเรือนทั่วๆไปนะแหละ  ผมยาว  อ้วนเป็นหมู ใครใคร่อยากทำอะไรทำ ผ่านไปแสนสบาย (แต่อย่าลืมว่าก็ต้องเรียนหนังสือหนักพอๆกับหมอที่อื่นเค้าเหมือนกันนะ) ซึ่งปีแรก จะถูกส่งไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน (แถวๆ central ลาดพร้าว) โดยเข้าเรียนร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ของมก.เหมือนกัน แต่มีบางวิชาที่ส่วนใหญ่พวกเราจะได้เรียนแยก Class ออกมาเนื่องจากเนื้อหาและหลักสูตรไม่เหมือนกับคณะวิทยาฯ


                ..พอปีสองละครชีวิตก็เปลี่ยนไป   ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวแบบนักโทษ  แต่เวลาออกงานแต่ชุดเต็มยศโคตรหล่อเลย  วันๆเอาแต่ ฝึก..ฝึก..ฝึก..นอน..ฝึก.  เท่านั้นแหละ  ราวๆ2-3เดือนได้ ไม่ได้กลับบ้าน   นอนดึกตื่นเช้า  ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆปิดเทอมไปเที่ยวกัน  แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ... หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้  แต่น้องๆที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง  คำสั่งของพี่ๆและคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้  ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเรางี๊เลยไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้  วิดพื้นมั่ง  วิ่งมั่ง  ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ  เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว  ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ  น้องๆสบายใจได้) สำหรับน้องๆผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายนะคะไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้านะ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้  เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาวะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา  ฝึกเป็นฝึก  จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที  ชีวิตนี้เพื่อชาติ  ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน  ซึ้งจริงๆ  แต่โคตรเหนื่อยเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ   แถมยังต้องมาเรียนหมออีก  แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างมั้ยเนี่ย  
              อ้อ แต่ตอนนี้การฝึกเขาปรับให้เบาลงเยอะแล้วนะ ถ้าเทียบกับสมัยพี่โตโต้กับเราเอง สมัยพี่เขาถือว่าหนักมากจริงๆ คือฝึกแบบนักเรียนนายร้อยของแท้เลย แต่สมัยเราก็เบาขึ้นมาก ยิ่งสมัย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เหมือนการออกกำลังกายเฉยๆเอ๊ง ไม่ต้องไปกลัวนะคะว่าอะไรมันจะโหดปานนั้นวะ 


               ..พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง  เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่...  ถ่ายทอดวิทยายุทธให้รุ่นน้องซะ   จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง  แล้วพอตอนปลายปี  ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง   ทำไงถึงจะรอดตาย  แล้วยังรักษาคนได้ด้วย  เท่โคตรอ่ะ)  แล้วก็ออกไปเรียนกระโดดร่ม   โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆเลย   มันมากๆๆๆๆๆๆ   ได้ขึ้นชีนุคจริงๆก็คราวนี้แหละรับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอบเตอร์ที่มีสองใบพัดอ่ะ  เป็นฮ.ลำเลียง ที่น้องๆเห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ  ถ้าเคยเล่นนะ)  กลับมาก็ติดร่มเท่ๆไว้ที่หน้าอก   ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ..  ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง


                ..พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย   ก็เพราะว่าหนูต้องดูแลคนไข้  จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวตายกันพอดี   ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ  แต่ระเบียบคือระเบียบ   อาวุโสคืออาวุโส  ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆซ่อนๆเอา   จับไม่ได้ก็สบายไป  จับได้ก็ซวยโคตร   ยังกะทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของ รร. ม.ปลายตีก้น  อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน  คล้ายๆกับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ ด้วยนิดๆ ทำนองนั้น

                ..พอปี 5  ใกล้จบละ  ฉันเริ่มมีอำนาจแล้ว  ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ    เป็นคนรักษากฎ  ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป    อำนาจอยู่ในมือเราแล้วนี่นา  แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้วนี่  ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว  สอบตกกันหมดพอดี


                ..ปี 6พี่ใหญ่!!..คราวนี้  เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา   น้องๆชั่งน่ารัก เชื่องกันซะทุกคนเลย   แต่พี่ๆปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก  เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ  กลับมาหอทีนึงแทบจำหน้าไม่ได้  นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก  ก็ดาวมันจะติดบ่าอยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอเวลาออกรบน่ะทำไรมั่ง   เผื่อเจอของจริงจะได้ไม่ตาย  เอาตัวเองและคนอื่นกลับมาด้วยนะครับหมอ...  จบซะที 6ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย



              จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร   ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆอ่านมาหรอก   คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า  จริงๆแล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ  อยู่เวรนะ   คนไข้เยอะนะ    เงินเดือนน้อยนะ   ถ้าอยากได้เงินเยอะๆแปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ  แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้มั้ยเนี่ย  ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆเค้านะ    ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้   ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ  สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน เสียสละมือของเราให้คนอื่นเค้าเอาชีวิตมาวางไว้ด้วยกัน(ฟังดูเท่ซะ...) แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลืกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียนอ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา  เพราะหมอที่คนไข้อยากได้   คือหมอที่เป็นทั้งคนดีและเก่ง  ไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด   ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิ


               แล้วจะเป็นหมอทหารดีมั้ยล่ะ  ชอบทหารมั้ยเนี่ย    ฝึกไหวรึเปล่า   ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวมั้ยล่ะ  ผมสั้นนะ  เครื่องแบบเท่ก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ  ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน  เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก  ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน   แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเค้าน่ะ  พร้อมจะแลกมั้ยล่ะ  เครื่องแบบเท่ๆ  สวัสดิการสุดเลิศ  ยศฐาบรรดาศักดิ์   แลกกับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก  ก็เข้ามา...หมอทหารไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด  เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ   นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆก็ไหวค่ะ ขอแค่ใจสู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไป แต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ