เห็นช่วงนี้มีน้องๆหลายคนเขียนบลอคเกี่ยวกับสอบตรงแพทย์ เราเลยอยากมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัวคือเรื่องของหมอๆ กันบ้าง (นานๆทีจะหาเอนทรี่ที่มีสาระกะเขาได้บ้างนะยะ-*-) แต่จะพูดถึงความต่างระหว่าง "หมอ" กับ"หมอทหาร" นะคะ
บทความนี้เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากบทความเดิมของพี่โตโต้ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจากเวปเด็กดี มาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมหรือดัดแปลงอัพเดทข้อมูลใหม่ๆเข้าไปเพิ่มนะคะ เพราะของเดิมเป็นช่วงที่พระมงกุฎยังใช้ระบบของนักเรียนแพทย์ทหารแบบเก่าอยู่ แต่ปัจจุบันนักเรียนแพทย์ทหารมีเพียง 20 คน อีก 80 คนเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดาค่ะ ฉะนั้นรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆจึงต่างกันออกไป เลยมาขอ review เพิ่มเติมนะคะ ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครจะเลือกว่าหนูจะเป็นอะไรดี หมอ หรือหมอทหาร หรือว่าอย่าไปเป็นมันเลยทั้งคู่
ก่อนอื่นเรามาดูทางด้านหมอก่อนดีก่า พี่เชื่อว่าคงมีหลายๆคนนะที่อยากเข้าหมอแต่ก่อนอื่นต้องถามใจตัวเองก่อนว่าที่อยากเข้าหมอน่ะเพราะอะไรหรอ.... ส่วนมากน่ะมักจะตอบแบบนางสาวไทยละสิ \"หนูอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ\" ชัวร์เลย อันนั้นมันก็ความคิดที่ดีค่ะน้องๆแต่ต้องดูว่ามันจริงแท้แค่ไหนเพราะพี่เห็นหลายคนตอนสัมภาษณ์ก็อยากช่วยเพื่อนมนุษย์แต่พอต้องออกต่างจังหวัดตอนใช้ทุนก็เลยเปลี่ยนใจมาช่วยตัวเองดีก่า หลายคนแล้วค่ะ
ส่วนพี่น่ะเหรอ เนื่องจากเกลียดวิชาคำนวนเข้าไส้แล้ว อาชีพอื่นก็ไม่รู้เลยว่าจบแล้วมันทำงานประเภทไหน ยังไง คือไม่เคยติดตามข่าวสารจากทางอื่นๆเหมือนกบในกะลายังงั้น กอปรกับชอบวิชาชีวะเป็นทุนเดิม แล้วก็สนใจและรักในวิชาชีพนี่อยู่แล้ว แล้วใครจะรู้ล่ะว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ หรือว่าท้อใจไม่อยากรักษาคนไข้แล้ว ก็ต้องมาดูก่อนว่าน้องจะรับชีวิตอันแสนจะรำเค็ญของนักเรียนแพทย์ได้หรือเปล่า พี่จะเล่าให้ฟังแล้วน้องจะซึ้ง....
อันดับแรกน้องก็ต้องเก็บตัวฝึกซ้อมฝีมือ พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลมากๆ เพื่อจะได้มั่วข้อสอบเอ็นท์ เอาให้มันติดหมอกะชาวบ้านเค้า นี่คือความเซ็งอันดับ 1 ..
.. ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาลัย น้องก็จะต้องเรียน basic sci. หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ ทั้ง bio-chem., microbio., physic, calaulus, และอีกมหาศาลราวๆ44-48หน่วยกิต ทั้งๆที่มหาลัยส่วนมากเค้าให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วย แต่เราคือยอดมนุษย์เราต้องทำได้น้อง
..พอปีสองความแกร่งและอึดที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้เริ่มเอามาใช้ซะที ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆหลายอย่างที่เกี่ยวกะร่างกายมนุษย์ที่เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองด้วยตาเปล่า(anatomy)หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด(ห้ามคิดว่าเหมือนดูหนังโป๊นะ) เรียกว่าคลุกคลีกะศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียนเคมีในร่างกายเรา เรียนว่าร่างกายหล่อๆสวยๆของเรานี้มันทำงานกันยังไงน๊อ... เค้าเรียกว่าวิชา physiology แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆเนี่ยเราทำไปได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...
..พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติมาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค เวลาไม่สบายเป็นไงน๊อ.. เชื้อโรคคือใครหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกะยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยละ แล้วมันจัดการกะเชื้อโรคได้ไงเนี่ย... วิชายากๆทั้งนั้นเลย เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ) คนอื่นเรียนหมาลัยมีคาบว่างพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก คาบว่างทีนี่ยังกะขึ้นสวรรค์ ..อยากหยุดเวลาไว้จัง แล้วพอปลายๆปีสามน้องก็จะเริ่มๆได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ อาจารย์จะพาไปชม ไปพูดคุย คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า ส่วนเราก็จะคิดในใจเอาวะ!!! ถึงจะโง่ก็ขอเก็กทำท่าหมอไว้ก่อน ไม่มีความรู้ก็ทำหน้าเหมือนมีความรู้เข้าไว้ คนไข้เห็นแล้วศรัทธาโคตรๆ...จบปีสาม คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!
..ขึ้นปี4 เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว เค้าเป็นอะไร ป่วยเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน คณะอะไร มีแฟนยัง... ซักประวัติมาให้หมด เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา แล้วเค้นมันออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรน๊า แต่ละวันตื่นมา ต้องไปเยี่ยมค้นไข้ดูอาการเค้าก่อน ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่าจากกันไปทั้งคืนหมออ่ะเป็นห่วงคุณแทบแย่นะเนี่ย จากนั้นก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืนแล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ แล้วก็ต้องไปบ๊ายบายคนไข้ก่อนจะจากกันอีกหนึ่งคืน เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน เอาวะ!!...3วันอยู่เวรทีนึงไม่ตายหรอกหน่า ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆที่ว่า คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยก็รักษาจะมาหยุดได้ไง จริงอ๊ะป่าว หมอเลยไม่มีเสาร์ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีวันหยุด ทำงานแบบ 7-11 จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาว่ามาไกลละเปลี่ยนใจไม่ทันละนี่นา จบปี4ฉันตรวจร่างกายเป็น พอจะบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรน๊า.... เก่งโคตรๆอ่ะ ปิดเทอมซะ14วันได้มั้ง ปิดทำไมก็ไม่รู้เนี่ย
..ขึ้นปี 5 ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆปลาๆให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง ตายมั่ง รอดมั่ง เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง จนปลายปี สอบรวมคราวนี้หล่ะวัดกันเลยใครจบ ใครไม่จบ ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอ็นท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้(ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าเอาใหม่ได้)
..พอปี6 คราวนี้ใครๆเค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง กลางวันตรวจคนไข้ กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้ อ่ะโห..พี่หมอคะ พี่หมอขา เท่โคตรๆอ่ะ จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน อ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว ชีวิตนักเรียนแพทย์มันชั่งยากเย็นอะไรเช่นนี้ แต่น่าแปลกที่คนเก่งๆทั้งหลายต่างแก่งแย่งกันเข้ามาเรียน เข้ามาแบกรับชีวิตของคนอื่นเค้าไว้ในมือ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเขาเหล่านั้นรักที่จะเป็นหมอน่ะสิคำตอบนี้แหละที่จะทำให้น้องหายเหนื่อย และไม่เคยใฝ่หาการพักผ่อนเลยตราบเท่าที่คนไข้ในมือยังไม่หายป่วย ความสุขใจเมื่อได้เห็นคนไข้หายป่วยแล้วเดินกลับบ้านไปมันคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตน้องให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ แต่ถ้าคำตอบของน้องคือที่ฉันมาเรียนหมอน่ะเพราะอนาคตฉันจะได้มีอาชีพที่มั่นคง มีคนนับหน้าถือตา คำตอบนี้เองที่จะทำให้น้องเรียนจบหมอโดยที่ไม่ได้เป็นหมอเลยแม้สักวินาทีเดียว
.. ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาลัย น้องก็จะต้องเรียน basic sci. หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ ทั้ง bio-chem., microbio., physic, calaulus, และอีกมหาศาลราวๆ44-48หน่วยกิต ทั้งๆที่มหาลัยส่วนมากเค้าให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วย แต่เราคือยอดมนุษย์เราต้องทำได้น้อง
..พอปีสองความแกร่งและอึดที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้เริ่มเอามาใช้ซะที ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆหลายอย่างที่เกี่ยวกะร่างกายมนุษย์ที่เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองด้วยตาเปล่า(anatomy)หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด(ห้ามคิดว่าเหมือนดูหนังโป๊นะ) เรียกว่าคลุกคลีกะศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียนเคมีในร่างกายเรา เรียนว่าร่างกายหล่อๆสวยๆของเรานี้มันทำงานกันยังไงน๊อ... เค้าเรียกว่าวิชา physiology แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆเนี่ยเราทำไปได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...
..พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติมาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค เวลาไม่สบายเป็นไงน๊อ.. เชื้อโรคคือใครหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกะยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยละ แล้วมันจัดการกะเชื้อโรคได้ไงเนี่ย... วิชายากๆทั้งนั้นเลย เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ) คนอื่นเรียนหมาลัยมีคาบว่างพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก คาบว่างทีนี่ยังกะขึ้นสวรรค์ ..อยากหยุดเวลาไว้จัง แล้วพอปลายๆปีสามน้องก็จะเริ่มๆได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ อาจารย์จะพาไปชม ไปพูดคุย คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า ส่วนเราก็จะคิดในใจเอาวะ!!! ถึงจะโง่ก็ขอเก็กทำท่าหมอไว้ก่อน ไม่มีความรู้ก็ทำหน้าเหมือนมีความรู้เข้าไว้ คนไข้เห็นแล้วศรัทธาโคตรๆ...จบปีสาม คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!
..ขึ้นปี4 เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว เค้าเป็นอะไร ป่วยเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน คณะอะไร มีแฟนยัง... ซักประวัติมาให้หมด เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา แล้วเค้นมันออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรน๊า แต่ละวันตื่นมา ต้องไปเยี่ยมค้นไข้ดูอาการเค้าก่อน ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่าจากกันไปทั้งคืนหมออ่ะเป็นห่วงคุณแทบแย่นะเนี่ย จากนั้นก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืนแล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ แล้วก็ต้องไปบ๊ายบายคนไข้ก่อนจะจากกันอีกหนึ่งคืน เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน เอาวะ!!...3วันอยู่เวรทีนึงไม่ตายหรอกหน่า ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆที่ว่า คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยก็รักษาจะมาหยุดได้ไง จริงอ๊ะป่าว หมอเลยไม่มีเสาร์ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีวันหยุด ทำงานแบบ 7-11 จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาว่ามาไกลละเปลี่ยนใจไม่ทันละนี่นา จบปี4ฉันตรวจร่างกายเป็น พอจะบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรน๊า.... เก่งโคตรๆอ่ะ ปิดเทอมซะ14วันได้มั้ง ปิดทำไมก็ไม่รู้เนี่ย
..ขึ้นปี 5 ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆปลาๆให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง ตายมั่ง รอดมั่ง เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง จนปลายปี สอบรวมคราวนี้หล่ะวัดกันเลยใครจบ ใครไม่จบ ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอ็นท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้(ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าเอาใหม่ได้)
..พอปี6 คราวนี้ใครๆเค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง กลางวันตรวจคนไข้ กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้ อ่ะโห..พี่หมอคะ พี่หมอขา เท่โคตรๆอ่ะ จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน อ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว ชีวิตนักเรียนแพทย์มันชั่งยากเย็นอะไรเช่นนี้ แต่น่าแปลกที่คนเก่งๆทั้งหลายต่างแก่งแย่งกันเข้ามาเรียน เข้ามาแบกรับชีวิตของคนอื่นเค้าไว้ในมือ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเขาเหล่านั้นรักที่จะเป็นหมอน่ะสิคำตอบนี้แหละที่จะทำให้น้องหายเหนื่อย และไม่เคยใฝ่หาการพักผ่อนเลยตราบเท่าที่คนไข้ในมือยังไม่หายป่วย ความสุขใจเมื่อได้เห็นคนไข้หายป่วยแล้วเดินกลับบ้านไปมันคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตน้องให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ แต่ถ้าคำตอบของน้องคือที่ฉันมาเรียนหมอน่ะเพราะอนาคตฉันจะได้มีอาชีพที่มั่นคง มีคนนับหน้าถือตา คำตอบนี้เองที่จะทำให้น้องเรียนจบหมอโดยที่ไม่ได้เป็นหมอเลยแม้สักวินาทีเดียว
เรียนจบละ... ออกไปทำงานใช้ทุน อยู่ต่างจังหวัดโชคดีก็ได้ที่สบาย อยู่ในเมือง โชคร้ายหน่อยก็นู่น เข้าป่าเป็นหมอผีไป ทั้งอนามัยมีแต่ ยาแดงกะพารา รักษาใครได้มั่งก็ม่ายรู้ อยู่เวรคืนเว้นคืน นอนตอนไหนไม่รู้ อยู่ๆตีสองตื่นมา คุณหมอหนูจะคลอด แล้วเราจะนอนต่อได้ไงล่ะเนี่ย เอ้าทำคลอดกันไป นึกซะว่าฝันไปละกันนะ แล้วก็เป็นแบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต...
จบเรื่องหมอ มาดูหมอทหารกันมั่ง
อัพเดทว่าตอนนี้นโยบายการรับนักศึกษาเข้าเรียนแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ นักเรียนแพทย์ทหารสังกัดกองทัพบก รับเป็นชายล้วน 20 คน กับอีก 80 คนที่เหลือเป็นนักศึกษาแพทย์ เหมือนกับหมอในบทความด้านบนค่ะ
ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องอยากเข้ากันก็คือ รร.นายร้อยตั้งแต่นายร้อย จปร(ของทัพบก) โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศล่ะสิ แต่ขอบอกชาติไทยของน้องๆน่ะมีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้ยศว่าที่ร้อยตรีด้วย เค้าคือ.....โรงเรียนของหมอทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง(ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ มีหวังหมอตายก่อน แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนหมอทหารขึ้นมา เรียนหมอด้วย ฝึกทหารด้วย ออกรบจะได้สู้เค้าได้ ไม่ถ่วงกองทัพ รอดตายกลับมา เรียน 6ปีเหมือนที่อื่นๆจบมาเป็นร้อยตรีเหมือน จปร. เด๊ะๆ เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน (แต่หล่อกว่า ขาวกว่า) แถมที่นี่ยังรับผู้หญิงด้วยนะ แล้วเค้าทำไรกันมั่งหรอมาดูกันเลยดีก่า...
ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องอยากเข้ากันก็คือ รร.นายร้อยตั้งแต่นายร้อย จปร(ของทัพบก) โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศล่ะสิ แต่ขอบอกชาติไทยของน้องๆน่ะมีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้ยศว่าที่ร้อยตรีด้วย เค้าคือ.....โรงเรียนของหมอทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง(ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ มีหวังหมอตายก่อน แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนหมอทหารขึ้นมา เรียนหมอด้วย ฝึกทหารด้วย ออกรบจะได้สู้เค้าได้ ไม่ถ่วงกองทัพ รอดตายกลับมา เรียน 6ปีเหมือนที่อื่นๆจบมาเป็นร้อยตรีเหมือน จปร. เด๊ะๆ เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน (แต่หล่อกว่า ขาวกว่า) แถมที่นี่ยังรับผู้หญิงด้วยนะ แล้วเค้าทำไรกันมั่งหรอมาดูกันเลยดีก่า...
ก่อนอื่นเข้ามาปีหนึ่งก็ใช้ชีวิตแบบพลเรือนทั่วๆไปนะแหละ ผมยาว อ้วนเป็นหมู ใครใคร่อยากทำอะไรทำ ผ่านไปแสนสบาย (แต่อย่าลืมว่าก็ต้องเรียนหนังสือหนักพอๆกับหมอที่อื่นเค้าเหมือนกันนะ) ซึ่งปีแรก จะถูกส่งไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน (แถวๆ central ลาดพร้าว) โดยเข้าเรียนร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ของมก.เหมือนกัน แต่มีบางวิชาที่ส่วนใหญ่พวกเราจะได้เรียนแยก Class ออกมาเนื่องจากเนื้อหาและหลักสูตรไม่เหมือนกับคณะวิทยาฯ
..พอปีสองละครชีวิตก็เปลี่ยนไป ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวแบบนักโทษ แต่เวลาออกงานแต่ชุดเต็มยศโคตรหล่อเลย วันๆเอาแต่ ฝึก..ฝึก..ฝึก..นอน..ฝึก. เท่านั้นแหละ ราวๆ2-3เดือนได้ ไม่ได้กลับบ้าน นอนดึกตื่นเช้า ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆปิดเทอมไปเที่ยวกัน แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ... หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้ แต่น้องๆที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง คำสั่งของพี่ๆและคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้ ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเรางี๊เลยไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้ วิดพื้นมั่ง วิ่งมั่ง ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ น้องๆสบายใจได้) สำหรับน้องๆผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายนะคะไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้านะ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้ เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาวะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา ฝึกเป็นฝึก จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ซึ้งจริงๆ แต่โคตรเหนื่อยเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ แถมยังต้องมาเรียนหมออีก แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างมั้ยเนี่ย
..พอปีสองละครชีวิตก็เปลี่ยนไป ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวแบบนักโทษ แต่เวลาออกงานแต่ชุดเต็มยศโคตรหล่อเลย วันๆเอาแต่ ฝึก..ฝึก..ฝึก..นอน..ฝึก. เท่านั้นแหละ ราวๆ2-3เดือนได้ ไม่ได้กลับบ้าน นอนดึกตื่นเช้า ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆปิดเทอมไปเที่ยวกัน แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ... หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้ แต่น้องๆที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง คำสั่งของพี่ๆและคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้ ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเรางี๊เลยไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้ วิดพื้นมั่ง วิ่งมั่ง ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ น้องๆสบายใจได้) สำหรับน้องๆผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายนะคะไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้านะ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้ เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาวะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา ฝึกเป็นฝึก จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ซึ้งจริงๆ แต่โคตรเหนื่อยเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ แถมยังต้องมาเรียนหมออีก แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างมั้ยเนี่ย
อ้อ แต่ตอนนี้การฝึกเขาปรับให้เบาลงเยอะแล้วนะ ถ้าเทียบกับสมัยพี่โตโต้กับเราเอง สมัยพี่เขาถือว่าหนักมากจริงๆ คือฝึกแบบนักเรียนนายร้อยของแท้เลย แต่สมัยเราก็เบาขึ้นมาก ยิ่งสมัย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เหมือนการออกกำลังกายเฉยๆเอ๊ง ไม่ต้องไปกลัวนะคะว่าอะไรมันจะโหดปานนั้นวะ
..พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่... ถ่ายทอดวิทยายุทธให้รุ่นน้องซะ จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง แล้วพอตอนปลายปี ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง ทำไงถึงจะรอดตาย แล้วยังรักษาคนได้ด้วย เท่โคตรอ่ะ) แล้วก็ออกไปเรียนกระโดดร่ม โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆเลย มันมากๆๆๆๆๆๆ ได้ขึ้นชีนุคจริงๆก็คราวนี้แหละรับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอบเตอร์ที่มีสองใบพัดอ่ะ เป็นฮ.ลำเลียง ที่น้องๆเห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ ถ้าเคยเล่นนะ) กลับมาก็ติดร่มเท่ๆไว้ที่หน้าอก ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ.. ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง
..พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย ก็เพราะว่าหนูต้องดูแลคนไข้ จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวตายกันพอดี ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ แต่ระเบียบคือระเบียบ อาวุโสคืออาวุโส ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆซ่อนๆเอา จับไม่ได้ก็สบายไป จับได้ก็ซวยโคตร ยังกะทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของ รร. ม.ปลายตีก้น อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน คล้ายๆกับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ ด้วยนิดๆ ทำนองนั้น
..พอปี 5 ใกล้จบละ ฉันเริ่มมีอำนาจแล้ว ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ เป็นคนรักษากฎ ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป อำนาจอยู่ในมือเราแล้วนี่นา แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้วนี่ ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว สอบตกกันหมดพอดี
..ปี 6พี่ใหญ่!!..คราวนี้ เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา น้องๆชั่งน่ารัก เชื่องกันซะทุกคนเลย แต่พี่ๆปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ กลับมาหอทีนึงแทบจำหน้าไม่ได้ นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก ก็ดาวมันจะติดบ่าอยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอเวลาออกรบน่ะทำไรมั่ง เผื่อเจอของจริงจะได้ไม่ตาย เอาตัวเองและคนอื่นกลับมาด้วยนะครับหมอ... จบซะที 6ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆอ่านมาหรอก คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า จริงๆแล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ อยู่เวรนะ คนไข้เยอะนะ เงินเดือนน้อยนะ ถ้าอยากได้เงินเยอะๆแปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้มั้ยเนี่ย ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆเค้านะ ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้ ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน เสียสละมือของเราให้คนอื่นเค้าเอาชีวิตมาวางไว้ด้วยกัน(ฟังดูเท่ซะ...) แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลืกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียนอ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา เพราะหมอที่คนไข้อยากได้ คือหมอที่เป็นทั้งคนดีและเก่ง ไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิ
แล้วจะเป็นหมอทหารดีมั้ยล่ะ ชอบทหารมั้ยเนี่ย ฝึกไหวรึเปล่า ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวมั้ยล่ะ ผมสั้นนะ เครื่องแบบเท่ก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเค้าน่ะ พร้อมจะแลกมั้ยล่ะ เครื่องแบบเท่ๆ สวัสดิการสุดเลิศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ แลกกับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก ก็เข้ามา...หมอทหารไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆก็ไหวค่ะ ขอแค่ใจสู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไป แต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ
..พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่... ถ่ายทอดวิทยายุทธให้รุ่นน้องซะ จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง แล้วพอตอนปลายปี ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง ทำไงถึงจะรอดตาย แล้วยังรักษาคนได้ด้วย เท่โคตรอ่ะ) แล้วก็ออกไปเรียนกระโดดร่ม โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆเลย มันมากๆๆๆๆๆๆ ได้ขึ้นชีนุคจริงๆก็คราวนี้แหละรับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอบเตอร์ที่มีสองใบพัดอ่ะ เป็นฮ.ลำเลียง ที่น้องๆเห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ ถ้าเคยเล่นนะ) กลับมาก็ติดร่มเท่ๆไว้ที่หน้าอก ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ.. ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง
..พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย ก็เพราะว่าหนูต้องดูแลคนไข้ จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวตายกันพอดี ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ แต่ระเบียบคือระเบียบ อาวุโสคืออาวุโส ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆซ่อนๆเอา จับไม่ได้ก็สบายไป จับได้ก็ซวยโคตร ยังกะทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของ รร. ม.ปลายตีก้น อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน คล้ายๆกับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ ด้วยนิดๆ ทำนองนั้น
..พอปี 5 ใกล้จบละ ฉันเริ่มมีอำนาจแล้ว ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ เป็นคนรักษากฎ ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป อำนาจอยู่ในมือเราแล้วนี่นา แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้วนี่ ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว สอบตกกันหมดพอดี
..ปี 6พี่ใหญ่!!..คราวนี้ เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา น้องๆชั่งน่ารัก เชื่องกันซะทุกคนเลย แต่พี่ๆปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ กลับมาหอทีนึงแทบจำหน้าไม่ได้ นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก ก็ดาวมันจะติดบ่าอยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอเวลาออกรบน่ะทำไรมั่ง เผื่อเจอของจริงจะได้ไม่ตาย เอาตัวเองและคนอื่นกลับมาด้วยนะครับหมอ... จบซะที 6ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆอ่านมาหรอก คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า จริงๆแล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ อยู่เวรนะ คนไข้เยอะนะ เงินเดือนน้อยนะ ถ้าอยากได้เงินเยอะๆแปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้มั้ยเนี่ย ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆเค้านะ ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้ ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน เสียสละมือของเราให้คนอื่นเค้าเอาชีวิตมาวางไว้ด้วยกัน(ฟังดูเท่ซะ...) แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลืกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียนอ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา เพราะหมอที่คนไข้อยากได้ คือหมอที่เป็นทั้งคนดีและเก่ง ไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิ
แล้วจะเป็นหมอทหารดีมั้ยล่ะ ชอบทหารมั้ยเนี่ย ฝึกไหวรึเปล่า ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวมั้ยล่ะ ผมสั้นนะ เครื่องแบบเท่ก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเค้าน่ะ พร้อมจะแลกมั้ยล่ะ เครื่องแบบเท่ๆ สวัสดิการสุดเลิศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ แลกกับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก ก็เข้ามา...หมอทหารไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆก็ไหวค่ะ ขอแค่ใจสู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไป แต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ
เห็นช่วงนี้มีน้องๆหลายคนเขียนบลอคเกี่ยวกับสอบตรงแพทย์ เราเลยอยากมาพูดถึงเรื่องใกล้ตัวคือเรื่องของหมอๆ กันบ้าง (นานๆทีจะหาเอนทรี่ที่มีสาระกะเขาได้บ้างนะยะ-*-) แต่จะพูดถึงความต่างระหว่าง "หมอ" กับ"หมอทหาร" นะคะ
บทความนี้เขียนขึ้นโดยอ้างอิงจากบทความเดิมของพี่โตโต้ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าจากเวปเด็กดี มาเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมหรือดัดแปลงอัพเดทข้อมูลใหม่ๆเข้าไปเพิ่มนะคะ เพราะของเดิมเป็นช่วงที่พระมงกุฎยังใช้ระบบของนักเรียนแพทย์ทหารแบบเก่าอยู่ แต่ปัจจุบันนักเรียนแพทย์ทหารมีเพียง 20 คน อีก 80 คนเป็นนักศึกษาแพทย์ธรรมดาค่ะ ฉะนั้นรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆจึงต่างกันออกไป เลยมาขอ review เพิ่มเติมนะคะ ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครจะเลือกว่าหนูจะเป็นอะไรดี หมอ หรือหมอทหาร หรือว่าอย่าไปเป็นมันเลยทั้งคู่
ก่อนอื่นเรามาดูทางด้านหมอก่อนดีก่า พี่เชื่อว่าคงมีหลายๆคนนะที่อยากเข้าหมอแต่ก่อนอื่นต้องถามใจตัวเองก่อนว่าที่อยากเข้าหมอน่ะเพราะอะไรหรอ.... ส่วนมากน่ะมักจะตอบแบบนางสาวไทยละสิ \"หนูอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ\" ชัวร์เลย อันนั้นมันก็ความคิดที่ดีค่ะน้องๆแต่ต้องดูว่ามันจริงแท้แค่ไหนเพราะพี่เห็นหลายคนตอนสัมภาษณ์ก็อยากช่วยเพื่อนมนุษย์แต่พอต้องออกต่างจังหวัดตอนใช้ทุนก็เลยเปลี่ยนใจมาช่วยตัวเองดีก่า หลายคนแล้วค่ะ
ส่วนพี่น่ะเหรอ เนื่องจากเกลียดวิชาคำนวนเข้าไส้แล้ว อาชีพอื่นก็ไม่รู้เลยว่าจบแล้วมันทำงานประเภทไหน ยังไง คือไม่เคยติดตามข่าวสารจากทางอื่นๆเหมือนกบในกะลายังงั้น กอปรกับชอบวิชาชีวะเป็นทุนเดิม แล้วก็สนใจและรักในวิชาชีพนี่อยู่แล้ว แล้วใครจะรู้ล่ะว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่ หรือว่าท้อใจไม่อยากรักษาคนไข้แล้ว ก็ต้องมาดูก่อนว่าน้องจะรับชีวิตอันแสนจะรำเค็ญของนักเรียนแพทย์ได้หรือเปล่า พี่จะเล่าให้ฟังแล้วน้องจะซึ้ง....
อันดับแรกน้องก็ต้องเก็บตัวฝึกซ้อมฝีมือ พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลมากๆ เพื่อจะได้มั่วข้อสอบเอ็นท์ เอาให้มันติดหมอกะชาวบ้านเค้า นี่คือความเซ็งอันดับ 1 ..
.. ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาลัย น้องก็จะต้องเรียน basic sci. หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ ทั้ง bio-chem., microbio., physic, calaulus, และอีกมหาศาลราวๆ44-48หน่วยกิต ทั้งๆที่มหาลัยส่วนมากเค้าให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วย แต่เราคือยอดมนุษย์เราต้องทำได้น้อง
..พอปีสองความแกร่งและอึดที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้เริ่มเอามาใช้ซะที ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆหลายอย่างที่เกี่ยวกะร่างกายมนุษย์ที่เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองด้วยตาเปล่า(anatomy)หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด(ห้ามคิดว่าเหมือนดูหนังโป๊นะ) เรียกว่าคลุกคลีกะศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียนเคมีในร่างกายเรา เรียนว่าร่างกายหล่อๆสวยๆของเรานี้มันทำงานกันยังไงน๊อ... เค้าเรียกว่าวิชา physiology แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆเนี่ยเราทำไปได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...
..พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติมาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค เวลาไม่สบายเป็นไงน๊อ.. เชื้อโรคคือใครหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกะยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยละ แล้วมันจัดการกะเชื้อโรคได้ไงเนี่ย... วิชายากๆทั้งนั้นเลย เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ) คนอื่นเรียนหมาลัยมีคาบว่างพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก คาบว่างทีนี่ยังกะขึ้นสวรรค์ ..อยากหยุดเวลาไว้จัง แล้วพอปลายๆปีสามน้องก็จะเริ่มๆได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ อาจารย์จะพาไปชม ไปพูดคุย คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า ส่วนเราก็จะคิดในใจเอาวะ!!! ถึงจะโง่ก็ขอเก็กทำท่าหมอไว้ก่อน ไม่มีความรู้ก็ทำหน้าเหมือนมีความรู้เข้าไว้ คนไข้เห็นแล้วศรัทธาโคตรๆ...จบปีสาม คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!
..ขึ้นปี4 เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว เค้าเป็นอะไร ป่วยเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน คณะอะไร มีแฟนยัง... ซักประวัติมาให้หมด เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา แล้วเค้นมันออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรน๊า แต่ละวันตื่นมา ต้องไปเยี่ยมค้นไข้ดูอาการเค้าก่อน ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่าจากกันไปทั้งคืนหมออ่ะเป็นห่วงคุณแทบแย่นะเนี่ย จากนั้นก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืนแล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ แล้วก็ต้องไปบ๊ายบายคนไข้ก่อนจะจากกันอีกหนึ่งคืน เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน เอาวะ!!...3วันอยู่เวรทีนึงไม่ตายหรอกหน่า ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆที่ว่า คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยก็รักษาจะมาหยุดได้ไง จริงอ๊ะป่าว หมอเลยไม่มีเสาร์ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีวันหยุด ทำงานแบบ 7-11 จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาว่ามาไกลละเปลี่ยนใจไม่ทันละนี่นา จบปี4ฉันตรวจร่างกายเป็น พอจะบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรน๊า.... เก่งโคตรๆอ่ะ ปิดเทอมซะ14วันได้มั้ง ปิดทำไมก็ไม่รู้เนี่ย
..ขึ้นปี 5 ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆปลาๆให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง ตายมั่ง รอดมั่ง เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง จนปลายปี สอบรวมคราวนี้หล่ะวัดกันเลยใครจบ ใครไม่จบ ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอ็นท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้(ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าเอาใหม่ได้)
..พอปี6 คราวนี้ใครๆเค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง กลางวันตรวจคนไข้ กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้ อ่ะโห..พี่หมอคะ พี่หมอขา เท่โคตรๆอ่ะ จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน อ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว ชีวิตนักเรียนแพทย์มันชั่งยากเย็นอะไรเช่นนี้ แต่น่าแปลกที่คนเก่งๆทั้งหลายต่างแก่งแย่งกันเข้ามาเรียน เข้ามาแบกรับชีวิตของคนอื่นเค้าไว้ในมือ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเขาเหล่านั้นรักที่จะเป็นหมอน่ะสิคำตอบนี้แหละที่จะทำให้น้องหายเหนื่อย และไม่เคยใฝ่หาการพักผ่อนเลยตราบเท่าที่คนไข้ในมือยังไม่หายป่วย ความสุขใจเมื่อได้เห็นคนไข้หายป่วยแล้วเดินกลับบ้านไปมันคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตน้องให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ แต่ถ้าคำตอบของน้องคือที่ฉันมาเรียนหมอน่ะเพราะอนาคตฉันจะได้มีอาชีพที่มั่นคง มีคนนับหน้าถือตา คำตอบนี้เองที่จะทำให้น้องเรียนจบหมอโดยที่ไม่ได้เป็นหมอเลยแม้สักวินาทีเดียว
.. ต่อมาปีหนึ่งในรั้วมหาลัย น้องก็จะต้องเรียน basic sci. หรือวิทยาศาสตร์นั่นแหละ ทั้ง bio-chem., microbio., physic, calaulus, และอีกมหาศาลราวๆ44-48หน่วยกิต ทั้งๆที่มหาลัยส่วนมากเค้าให้เรียนไม่เกิน 42 หน่วย แต่เราคือยอดมนุษย์เราต้องทำได้น้อง
..พอปีสองความแกร่งและอึดที่สั่งสมมาหนึ่งปีจะได้เริ่มเอามาใช้ซะที ปีสองน้องจะได้เรียนอะไรๆหลายอย่างที่เกี่ยวกะร่างกายมนุษย์ที่เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่มองด้วยตาเปล่า(anatomy)หรือว่าเรียนอาจารย์ใหญ่นั่นแหละ ทุกส่วนในร่างกายหั่นออกมาดูหมด(ห้ามคิดว่าเหมือนดูหนังโป๊นะ) เรียกว่าคลุกคลีกะศพอาจารย์ใหญ่ตลอด 1 ปีเต็ม แล้วยังมีพวกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าต้องส่องกล้องดูด้วยเรียกว่า histology แล้วก็เรียนเคมีในร่างกายเรา เรียนว่าร่างกายหล่อๆสวยๆของเรานี้มันทำงานกันยังไงน๊อ... เค้าเรียกว่าวิชา physiology แล้วน้องจะเข้าใจว่าที่เรามายืนหายใจปุ๊ดๆเนี่ยเราทำไปได้ยังไง ที่นั่งอ่านข้อความอยู่เนี่ยมันเกิดขึ้นด้วยกลไกอะไร แล้วอีกอย่างเกือบลืมต้องเรียนว่าตอนเด็กฉันหน้าตาเป็นไงด้วย เค้าเรียกว่า embryology จบปีสอง เหนื่อยจังเฮ้อ!!...
..พอปีสามน้องก็จะได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาเกี่ยวกับร่างกายปกติมาใช้กับร่างกายที่เป็นโรค เวลาไม่สบายเป็นไงน๊อ.. เชื้อโรคคือใครหรอ.. แล้วก็เรียนเกี่ยวกะยาทำไมมันต้องไม่อร่อยด้วยละ แล้วมันจัดการกะเชื้อโรคได้ไงเนี่ย... วิชายากๆทั้งนั้นเลย เรียนกันแบบไม่ลืมหูลืมตา (ไม่ได้หลับนะ) คนอื่นเรียนหมาลัยมีคาบว่างพวกนักเรียนแพทย์ไม่ค่อยจะมีกันหรอก คาบว่างทีนี่ยังกะขึ้นสวรรค์ ..อยากหยุดเวลาไว้จัง แล้วพอปลายๆปีสามน้องก็จะเริ่มๆได้ถูกเนื้อต้องตัวคนไข้จริงๆ อาจารย์จะพาไปชม ไปพูดคุย คนไข้จะมองด้วยสายตาประดุจมองเทพเจ้า ส่วนเราก็จะคิดในใจเอาวะ!!! ถึงจะโง่ก็ขอเก็กทำท่าหมอไว้ก่อน ไม่มีความรู้ก็ทำหน้าเหมือนมีความรู้เข้าไว้ คนไข้เห็นแล้วศรัทธาโคตรๆ...จบปีสาม คราวนี้ล่ะได้แต่งชุดหมอซะที!
..ขึ้นปี4 เริ่มทำงานกะคนไข้แล้ว เค้าเป็นอะไร ป่วยเมื่อไหร่ เรียนที่ไหน คณะอะไร มีแฟนยัง... ซักประวัติมาให้หมด เสร็จแล้วก็เอามาเทียบกะความรู้ที่เราเรียนมา แล้วเค้นมันออกมาว่าเค้าเป็นโรคอะไรน๊า แต่ละวันตื่นมา ต้องไปเยี่ยมค้นไข้ดูอาการเค้าก่อน ด้วยจิตใจที่คิดเสมอว่าจากกันไปทั้งคืนหมออ่ะเป็นห่วงคุณแทบแย่นะเนี่ย จากนั้นก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า เจ็ดโมง จนบางวันโชคดีเลิกเรียนสี่โมงเย็น โชคดีเข้าไปอีกก็เลิกซักสามทุ่ม โชคชั้นที่สองต้องเข้าห้องผ่าตัด ชมฝีมือผ่าตัดของอาจารย์ก็กดเข้าไปครึ่งคืนแล้วแต่โชคของแต่ละวันครับ แล้วก็ต้องไปบ๊ายบายคนไข้ก่อนจะจากกันอีกหนึ่งคืน เสร็จแล้วก็ต้องอยู่เวรง่วงแสนง่วง รายงานก็ยังไม่เขียนต้องมาเข้าเวรก่อน เอาวะ!!...3วันอยู่เวรทีนึงไม่ตายหรอกหน่า ลงเวรเที่ยงคืนเองกลับหอมีเวลานอนตั้ง 5 ชั่วโมง (ถือว่าเยอะแล้วนะ) สบายๆ พอถึงห้องหลับแผละ....กองอยู่บนเตียง ปี 4 ผ่านไปพร้อมกับความเข้าใจใหม่ๆที่ว่า คนไข้ป่วยได้ทุกวันไม่มีวันหยุดเราเป็นหมอเค้าป่วยก็รักษาจะมาหยุดได้ไง จริงอ๊ะป่าว หมอเลยไม่มีเสาร์ ไม่มีอาทิตย์ ไม่มีวันหยุด ทำงานแบบ 7-11 จ่ายยาเสร็จต้องถามด้วยว่า รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยค๊า... อ่ะแต่ก็เอาว่ามาไกลละเปลี่ยนใจไม่ทันละนี่นา จบปี4ฉันตรวจร่างกายเป็น พอจะบอกได้ว่าคนไข้เป็นโรคอะไรน๊า.... เก่งโคตรๆอ่ะ ปิดเทอมซะ14วันได้มั้ง ปิดทำไมก็ไม่รู้เนี่ย
..ขึ้นปี 5 ฉันรู้แล้วว่าเธอเป็นโรคอะไร..คราวนี้ฉันจะแสดงการรักษาแบบงูๆปลาๆให้ดู (มีพี่ๆและอาจารย์คอยเป็นคนดูแลนะ เราสั่งการเองหมดไม่ได้นะ) โอม.....เพี้ยง หายมั่งไม่หายมั่ง ตายมั่ง รอดมั่ง เฮ้อ....ชีวิตชั่งอนิจจัง จนปลายปี สอบรวมคราวนี้หล่ะวัดกันเลยใครจบ ใครไม่จบ ยังกะย้อนเวลาไปสอบเอ็นท์อีกรอบนึงเลย... คำตอบของคุณ....ถูกต้องคร๊าบ...จบเป็นหมอแน่นอนคราวนี้(ถ้าตอบผิดไม่ผ่านปีหน้าเอาใหม่ได้)
..พอปี6 คราวนี้ใครๆเค้าก็เรียกเราว่าหมอเต็มปากแล้วเพราะเราต้องสั่งการเองแล้วก็ให้พี่ๆที่เค้าจบแล้วหรืออาจารย์ช่วยดูให้อีกทีนึง กลางวันตรวจคนไข้ กลางคืนอยู่เวร นอนตอนไหนไม่มีใครบอกได้ อ่ะโห..พี่หมอคะ พี่หมอขา เท่โคตรๆอ่ะ จบซะที 6 ปีอันแสนยาวนาน อ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล้วนเคยผ่านมาหมดแล้ว ชีวิตนักเรียนแพทย์มันชั่งยากเย็นอะไรเช่นนี้ แต่น่าแปลกที่คนเก่งๆทั้งหลายต่างแก่งแย่งกันเข้ามาเรียน เข้ามาแบกรับชีวิตของคนอื่นเค้าไว้ในมือ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเขาเหล่านั้นรักที่จะเป็นหมอน่ะสิคำตอบนี้แหละที่จะทำให้น้องหายเหนื่อย และไม่เคยใฝ่หาการพักผ่อนเลยตราบเท่าที่คนไข้ในมือยังไม่หายป่วย ความสุขใจเมื่อได้เห็นคนไข้หายป่วยแล้วเดินกลับบ้านไปมันคือน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตน้องให้ชุ่มฉ่ำอยู่เสมอ แต่ถ้าคำตอบของน้องคือที่ฉันมาเรียนหมอน่ะเพราะอนาคตฉันจะได้มีอาชีพที่มั่นคง มีคนนับหน้าถือตา คำตอบนี้เองที่จะทำให้น้องเรียนจบหมอโดยที่ไม่ได้เป็นหมอเลยแม้สักวินาทีเดียว
เรียนจบละ... ออกไปทำงานใช้ทุน อยู่ต่างจังหวัดโชคดีก็ได้ที่สบาย อยู่ในเมือง โชคร้ายหน่อยก็นู่น เข้าป่าเป็นหมอผีไป ทั้งอนามัยมีแต่ ยาแดงกะพารา รักษาใครได้มั่งก็ม่ายรู้ อยู่เวรคืนเว้นคืน นอนตอนไหนไม่รู้ อยู่ๆตีสองตื่นมา คุณหมอหนูจะคลอด แล้วเราจะนอนต่อได้ไงล่ะเนี่ย เอ้าทำคลอดกันไป นึกซะว่าฝันไปละกันนะ แล้วก็เป็นแบบนี้เรื่อยไปตลอดชีวิต...
จบเรื่องหมอ มาดูหมอทหารกันมั่ง
อัพเดทว่าตอนนี้นโยบายการรับนักศึกษาเข้าเรียนแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ นักเรียนแพทย์ทหารสังกัดกองทัพบก รับเป็นชายล้วน 20 คน กับอีก 80 คนที่เหลือเป็นนักศึกษาแพทย์ เหมือนกับหมอในบทความด้านบนค่ะ
ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องอยากเข้ากันก็คือ รร.นายร้อยตั้งแต่นายร้อย จปร(ของทัพบก) โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศล่ะสิ แต่ขอบอกชาติไทยของน้องๆน่ะมีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้ยศว่าที่ร้อยตรีด้วย เค้าคือ.....โรงเรียนของหมอทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง(ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ มีหวังหมอตายก่อน แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนหมอทหารขึ้นมา เรียนหมอด้วย ฝึกทหารด้วย ออกรบจะได้สู้เค้าได้ ไม่ถ่วงกองทัพ รอดตายกลับมา เรียน 6ปีเหมือนที่อื่นๆจบมาเป็นร้อยตรีเหมือน จปร. เด๊ะๆ เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน (แต่หล่อกว่า ขาวกว่า) แถมที่นี่ยังรับผู้หญิงด้วยนะ แล้วเค้าทำไรกันมั่งหรอมาดูกันเลยดีก่า...
ก่อนอื่นเลยโรงเรียนทหารที่น้องอยากเข้ากันก็คือ รร.นายร้อยตั้งแต่นายร้อย จปร(ของทัพบก) โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศล่ะสิ แต่ขอบอกชาติไทยของน้องๆน่ะมีโรงเรียนอีกแห่งนะที่จบมาแล้วได้ยศว่าที่ร้อยตรีด้วย เค้าคือ.....โรงเรียนของหมอทหารนั่นเอง ที่นี่ในหลวง(ความจริงเค้าเรียกว่านายหลวงนะรู้อ๊ะป่าว) ตั้งขึ้นมาเพราะพระองค์ทรงเห็นว่า เวลามีการรบทีไร คนเจ็บคนตายเยอะแยะไปหมด เอาหมอที่อื่นซึ่งไม่เคยฝึกไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงปืนไปช่วยรักษาในสนามรบ มีหวังหมอตายก่อน แล้วแบบนี้หมอที่ไหนเค้าจะยอมไป รบกับใครก็แพ้ พระองค์ก็เลยดำริให้ตั้งโรงเรียนหมอทหารขึ้นมา เรียนหมอด้วย ฝึกทหารด้วย ออกรบจะได้สู้เค้าได้ ไม่ถ่วงกองทัพ รอดตายกลับมา เรียน 6ปีเหมือนที่อื่นๆจบมาเป็นร้อยตรีเหมือน จปร. เด๊ะๆ เค้าเรียกว่ากำเนิดจากโรงเรียนทหารชั้นนายร้อยเหมือนกัน (แต่หล่อกว่า ขาวกว่า) แถมที่นี่ยังรับผู้หญิงด้วยนะ แล้วเค้าทำไรกันมั่งหรอมาดูกันเลยดีก่า...
ก่อนอื่นเข้ามาปีหนึ่งก็ใช้ชีวิตแบบพลเรือนทั่วๆไปนะแหละ ผมยาว อ้วนเป็นหมู ใครใคร่อยากทำอะไรทำ ผ่านไปแสนสบาย (แต่อย่าลืมว่าก็ต้องเรียนหนังสือหนักพอๆกับหมอที่อื่นเค้าเหมือนกันนะ) ซึ่งปีแรก จะถูกส่งไปเรียนที่คณะวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน (แถวๆ central ลาดพร้าว) โดยเข้าเรียนร่วมกับคณะวิทยาศาสตร์ของมก.เหมือนกัน แต่มีบางวิชาที่ส่วนใหญ่พวกเราจะได้เรียนแยก Class ออกมาเนื่องจากเนื้อหาและหลักสูตรไม่เหมือนกับคณะวิทยาฯ
..พอปีสองละครชีวิตก็เปลี่ยนไป ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวแบบนักโทษ แต่เวลาออกงานแต่ชุดเต็มยศโคตรหล่อเลย วันๆเอาแต่ ฝึก..ฝึก..ฝึก..นอน..ฝึก. เท่านั้นแหละ ราวๆ2-3เดือนได้ ไม่ได้กลับบ้าน นอนดึกตื่นเช้า ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆปิดเทอมไปเที่ยวกัน แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ... หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้ แต่น้องๆที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง คำสั่งของพี่ๆและคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้ ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเรางี๊เลยไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้ วิดพื้นมั่ง วิ่งมั่ง ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ น้องๆสบายใจได้) สำหรับน้องๆผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายนะคะไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้านะ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้ เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาวะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา ฝึกเป็นฝึก จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ซึ้งจริงๆ แต่โคตรเหนื่อยเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ แถมยังต้องมาเรียนหมออีก แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างมั้ยเนี่ย
..พอปีสองละครชีวิตก็เปลี่ยนไป ต้องเข้ารับการปรับสภาพจากพลเรือนมาเป็นทหารตัดผมหัวเกรียน แต่งตัวแบบนักโทษ แต่เวลาออกงานแต่ชุดเต็มยศโคตรหล่อเลย วันๆเอาแต่ ฝึก..ฝึก..ฝึก..นอน..ฝึก. เท่านั้นแหละ ราวๆ2-3เดือนได้ ไม่ได้กลับบ้าน นอนดึกตื่นเช้า ออกแรงทั้งวัน เพื่อนๆปิดเทอมไปเที่ยวกัน แต่เราดันต้องมานอนตากฝนเฝ้าหลุมหลบระเบิด ชีวิตรันทด บางคืนก็แอบร้องไห้คิดถึงแม่จัง ... หนักขนาดไหนก็อธิบายไม่ได้ แต่น้องๆที่เคยเรียน รด. แล้วเคยไปเข้าค่ายรด. ขอให้จินตนการตามเอาละกันว่า หนักกว่าไปเขาชนไก่ราวๆ 3,500 เท่าได้มั้ง คำสั่งของพี่ๆและคำสั่งของนายทหารนี่ยังกะเสียงสั่งจากสวรรค์ไม่ทำไม่ได้ ถือเป็นความผิด เฮ้อ..แม่เรายังไม่เคยทำกะเรางี๊เลยไอ้นี่มันใครเนี่ยมาสั่งเราทำนั่นทำนี่อยู่ได้ วิดพื้นมั่ง วิ่งมั่ง ขัดส้วมมั่ง และอีกสารพัดการทรมานร่างกายและจิตใจ (แต่ไม่มีการทำร้ายแบบถูกเนื้อต้องตัวกันนะครับ เดี๋ยวนี้ทหารเค้าทันสมัยแล้ว ไม่มีการเตะต่อยแล้วล่ะ น้องๆสบายใจได้) สำหรับน้องๆผู้หญิงการฝึกก็จะเบากว่าน้องผู้ชายนะคะไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าเข้านะ ไม่ถึงกับกล้ามขึ้นเป็นมัดหรอกรับรองได้ เพียงแต่ทำให้น้องมีหัวใจที่แกร่งขึ้น เข้มแข็งขึ้นเท่านั้นเอง เอาวะ!!ก็เลือกเข้ามาเองนี่นา ฝึกเป็นฝึก จากพลเรือน เปลี่ยนมาเป็นทหารกะเค้าซะที ชีวิตนี้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ซึ้งจริงๆ แต่โคตรเหนื่อยเลย จ้างซักล้านนึงยังไม่อยากกลับไปฝึกอีกรอบเลยจริงๆนะ แถมยังต้องมาเรียนหมออีก แล้วชีวิตมันจะมีเวลาว่างมั้ยเนี่ย
อ้อ แต่ตอนนี้การฝึกเขาปรับให้เบาลงเยอะแล้วนะ ถ้าเทียบกับสมัยพี่โตโต้กับเราเอง สมัยพี่เขาถือว่าหนักมากจริงๆ คือฝึกแบบนักเรียนนายร้อยของแท้เลย แต่สมัยเราก็เบาขึ้นมาก ยิ่งสมัย 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เหมือนการออกกำลังกายเฉยๆเอ๊ง ไม่ต้องไปกลัวนะคะว่าอะไรมันจะโหดปานนั้นวะ
..พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่... ถ่ายทอดวิทยายุทธให้รุ่นน้องซะ จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง แล้วพอตอนปลายปี ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง ทำไงถึงจะรอดตาย แล้วยังรักษาคนได้ด้วย เท่โคตรอ่ะ) แล้วก็ออกไปเรียนกระโดดร่ม โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆเลย มันมากๆๆๆๆๆๆ ได้ขึ้นชีนุคจริงๆก็คราวนี้แหละรับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอบเตอร์ที่มีสองใบพัดอ่ะ เป็นฮ.ลำเลียง ที่น้องๆเห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ ถ้าเคยเล่นนะ) กลับมาก็ติดร่มเท่ๆไว้ที่หน้าอก ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ.. ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง
..พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย ก็เพราะว่าหนูต้องดูแลคนไข้ จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวตายกันพอดี ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ แต่ระเบียบคือระเบียบ อาวุโสคืออาวุโส ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆซ่อนๆเอา จับไม่ได้ก็สบายไป จับได้ก็ซวยโคตร ยังกะทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของ รร. ม.ปลายตีก้น อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน คล้ายๆกับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ ด้วยนิดๆ ทำนองนั้น
..พอปี 5 ใกล้จบละ ฉันเริ่มมีอำนาจแล้ว ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ เป็นคนรักษากฎ ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป อำนาจอยู่ในมือเราแล้วนี่นา แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้วนี่ ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว สอบตกกันหมดพอดี
..ปี 6พี่ใหญ่!!..คราวนี้ เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา น้องๆชั่งน่ารัก เชื่องกันซะทุกคนเลย แต่พี่ๆปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ กลับมาหอทีนึงแทบจำหน้าไม่ได้ นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก ก็ดาวมันจะติดบ่าอยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอเวลาออกรบน่ะทำไรมั่ง เผื่อเจอของจริงจะได้ไม่ตาย เอาตัวเองและคนอื่นกลับมาด้วยนะครับหมอ... จบซะที 6ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆอ่านมาหรอก คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า จริงๆแล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ อยู่เวรนะ คนไข้เยอะนะ เงินเดือนน้อยนะ ถ้าอยากได้เงินเยอะๆแปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้มั้ยเนี่ย ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆเค้านะ ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้ ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน เสียสละมือของเราให้คนอื่นเค้าเอาชีวิตมาวางไว้ด้วยกัน(ฟังดูเท่ซะ...) แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลืกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียนอ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา เพราะหมอที่คนไข้อยากได้ คือหมอที่เป็นทั้งคนดีและเก่ง ไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิ
แล้วจะเป็นหมอทหารดีมั้ยล่ะ ชอบทหารมั้ยเนี่ย ฝึกไหวรึเปล่า ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวมั้ยล่ะ ผมสั้นนะ เครื่องแบบเท่ก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเค้าน่ะ พร้อมจะแลกมั้ยล่ะ เครื่องแบบเท่ๆ สวัสดิการสุดเลิศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ แลกกับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก ก็เข้ามา...หมอทหารไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆก็ไหวค่ะ ขอแค่ใจสู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไป แต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ
..พอปี 3 คราวนี้หัวใจมันเริ่มแกร่ง เป็นทหารเต็มตัวแล้วนี่... ถ่ายทอดวิทยายุทธให้รุ่นน้องซะ จับน้องปี 2 มาฝึกนั่นเอง แล้วพอตอนปลายปี ก็ออกไปฝึกทหารเสนารักษ์ (ฝึกว่าเวลาไปรบจริงๆ หมอทำไรมั่ง ทำไงถึงจะรอดตาย แล้วยังรักษาคนได้ด้วย เท่โคตรอ่ะ) แล้วก็ออกไปเรียนกระโดดร่ม โดดลงมาจากเครื่องบินจริงๆเลย มันมากๆๆๆๆๆๆ ได้ขึ้นชีนุคจริงๆก็คราวนี้แหละรับ (ชีนุคคือเครื่องเฮลิคอบเตอร์ที่มีสองใบพัดอ่ะ เป็นฮ.ลำเลียง ที่น้องๆเห็นในเกม เจนเนอรอลน่ะแหละ ถ้าเคยเล่นนะ) กลับมาก็ติดร่มเท่ๆไว้ที่หน้าอก ถึงหน้าไม่หล่อ แต่พอดูรวมๆใส่เครื่องแบบซะหน่อยก็หล่อพอไปได้เนอะ.. ออกงานทีสาวกรี๊ด สลบไปเป็นทาง
..พอปี 4 การฝึกก็เริ่มเบาลงหน่อย ก็เพราะว่าหนูต้องดูแลคนไข้ จะมาฝึกมากมายเดี๋ยวตายกันพอดี ปีนี้ก็เลยปล่อยๆ แต่ระเบียบคือระเบียบ อาวุโสคืออาวุโส ใครไม่ทำตามระเบียบก็ต้องหลบๆซ่อนๆเอา จับไม่ได้ก็สบายไป จับได้ก็ซวยโคตร ยังกะทำผิดแล้วโดนครูฝ่ายปกครองของ รร. ม.ปลายตีก้น อะไรประมาณนั้น เพราะเราเป็นพี่แล้วนี่นา ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี พอปลายปีก็ออกไปทำงานวิจัยในชุมชน คล้ายๆกับปฏิบัติการจิตวิทยาทางทหาร รวมกับการวิจัยทางการแพทย์ ด้วยนิดๆ ทำนองนั้น
..พอปี 5 ใกล้จบละ ฉันเริ่มมีอำนาจแล้ว ต้องเป็นหัวหน้าควบคุมดูแลน้องๆ เป็นคนรักษากฎ ใครทำผิดกฎ จับได้ก็ลงโทษกันไป อำนาจอยู่ในมือเราแล้วนี่นา แต่ก็ไม่ต้องมาฝึกอะไรมากมายเพราะต้องเตรียมสอบก่อนจบเป็นหมอแล้วนี่ ฝึกมากเดี๋ยวเหนื่อยอ่านหนังสือไม่ไหว สอบตกกันหมดพอดี
..ปี 6พี่ใหญ่!!..คราวนี้ เราใหญ่สุดในหอแล้ว สั่งซ้ายก็ซ้าย สั่งขวาก็ขวา น้องๆชั่งน่ารัก เชื่องกันซะทุกคนเลย แต่พี่ๆปี 6 เค้าไม่ค่อยอยู่หอกันหรอก เพราะเค้าอยู่เวรกันจนแทบไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันละครับ กลับมาหอทีนึงแทบจำหน้าไม่ได้ นึกว่านายทหารที่ไหนซะอีก ก็ดาวมันจะติดบ่าอยู่รอมร่อแล้วนี่นา ก่อนจะจบเค้าก็จะฝึกทบทวนกันอีกครั้งว่าหมอเวลาออกรบน่ะทำไรมั่ง เผื่อเจอของจริงจะได้ไม่ตาย เอาตัวเองและคนอื่นกลับมาด้วยนะครับหมอ... จบซะที 6ปีอันแสนยาวนานและเหน็ดเหนื่อย
จบแล้วทั้งหมอและหมอทหาร ความจริงแล้วคำตอบไม่ได้อยู่ในสิ่งที่น้องๆอ่านมาหรอก คำตอบน่ะอยู่ในใจน้องเองมากกว่า จริงๆแล้วฉันอยากเป็นหมอหรอ....ไม่มีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นะ อยู่เวรนะ คนไข้เยอะนะ เงินเดือนน้อยนะ ถ้าอยากได้เงินเยอะๆแปลว่าต้องขูดเงินจากคนที่เค้าไม่สบายนะ แถมบางทียังต้องเจอพวกบ้าเรียนเห็นแก่ตัวด้วยจะทนอยู่ได้มั้ยเนี่ย ปิดเทอมก็น้อยกว่าคนอื่นๆเค้านะ ฉันทำได้รึเปล่า ถ้าคำตอบคือได้ ก็ตั้งใจอ่านหนังสือ สละความสุขของตัวเองซะแล้วมาเป็นหมอที่ดีด้วยกัน เสียสละมือของเราให้คนอื่นเค้าเอาชีวิตมาวางไว้ด้วยกัน(ฟังดูเท่ซะ...) แต่ถ้าคิดว่าไม่ไหวก็หลืกทางให้คนที่เค้าน่าจะเป็นหมอที่ดีกว่าเราแต่เรียนอ่อนกว่าเราเค้าเข้ามา เพราะหมอที่คนไข้อยากได้ คือหมอที่เป็นทั้งคนดีและเก่ง ไม่ใช่เครื่องรักษาโรคที่เก่งที่สุด ไม่เชื่อลองถามตัวเองเวลาไม่สบายดูสิ
แล้วจะเป็นหมอทหารดีมั้ยล่ะ ชอบทหารมั้ยเนี่ย ฝึกไหวรึเปล่า ทนอยู่ในกฎระเบียบไหวมั้ยล่ะ ผมสั้นนะ เครื่องแบบเท่ก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับการห้ามใส่ชุดพลเรือนนะพร้อมจะแลกมั้ยล่ะ ปิดเทอมไม่ได้เที่ยวนะเพราะต้องออกฝึกภาคสนามแทน เวลาเค้ารบกันถ้าถูกสั่งให้ไปก็ต้องไปนะถ้าไม่ไปมีทางเดียวลาออก ไม่งั้นก็ถือว่าหนีทหารติดคุกแทน แต่เวลาไปไหนมาไหนก็เบ่งได้นิดหน่อยตามแบบข้าราชการไทยเค้าน่ะ พร้อมจะแลกมั้ยล่ะ เครื่องแบบเท่ๆ สวัสดิการสุดเลิศ ยศฐาบรรดาศักดิ์ แลกกับชีวิตอิสระของพลเรือน ถ้าคำตอบคือพร้อมจะแลก ก็เข้ามา...หมอทหารไม่ได้ลำบากอย่างที่คิด เป็นโรงเรียนนายร้อยที่สบายที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศ และนายร้อยตำรวจ นายร้อยหมอสบายสุดแล้ว เราฝึกไม่หนักเท่าเค้าเพราะเราเรียนหนักกว่าเค้า สำหรับน้องที่พร้อม ยังไงๆก็ไหวค่ะ ขอแค่ใจสู้ พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไป แต่สำหรับคนที่ไม่มีใจ พี่ว่ามันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ
Credit http://aillinks.exteen.com